“ปัญหา” เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้ในทุก ๆ ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน แฟน หรือแม้กระทั่งสามี ภรรยา คนรักกัน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา มีได้ตั้งแต่ปัญหาที่ดูเล็กน้อยมาก ๆ จนใครหลายคนมองว่ามันสามารถปล่อยผ่านไปได้ หรือปัญหาที่ใหญ่โตรุงรัง สิ่งสำคัญคือ เมื่อมีปัญหาขึ้นมาแล้ว เราได้พยายามแก้ปัญหากันหรือเปล่า ได้เคยพยายามเปิดใจพูดคุยกันไหน หรือหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าอยู่เสมอ ๆ จนปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมมันสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งสำคัญที่เราไม่ควรจะทำต่อกันเมื่อเกิดปัญหา คือ การใช้ “ความเงียบ” เป็นเครื่องมือในการหลบเลี่ยงการทะเลาะกัน หลายคนอาจเข้าใจว่า การเงียบนั้น คือการควบคุมอารมณ์ และเป็นวิธีการรับมือความขัดแย้งแบบที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน ความเงียบจะทำให้ความขัดแย้งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
แต่ในทางปฏิบัติ การใช้ “ความเงียบ” แก้ปัญหา เป็นภัยร้ายต่อความสัมพันธ์มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะกับคู่รักที่ชอบงอนกันด้วยความเงียบ เวลาไม่พอใจชอบทำเมินอีกฝ่ายเสมอ พูดด้วยก็ไม่หือไม่อือ เย็นชาใส่เหมือนไม่มีตัวตน ไม่ชอบไม่พอใจก็ไม่ยอมบอกกันดี ๆ ลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่าย Silent Treatment (การปฏิบัติต่อคู่รักด้วยความเงียบ)
“การเงียบ” นอกจากจะไม่ช่วยเรื่องการปรับความเข้าใจหรือนำเสนอให้เห็นถึงปัญหาที่แท้จริงแล้ว ยังอาจทำให้ทุกอย่างบานปลายอีกด้วย ทั้งจากคนที่เป็นฝ่ายเงียบและคนที่ถูกเงียบใส่ มันไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลาที่ค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ลงช้า ๆ และเป็นอาวุธร้ายกาจที่สร้างความเจ็บปวดให้กันไม่จบสิ้น เพราะเจตนาของความเงียบของใครบางคน เงียบเพื่อทำร้าย แสดงอำนาจควบคุม หรือบงการให้คนอื่นต้องทำตามใจตน
ความเงียบ ควรใช้สำหรับการเบรกอารมณ์ที่คุกรุ่น
เป็นเรื่องปกติธรรมดาในความสัมพันธ์ที่เราจะมีกระทบกระทั่งกับคนใกล้ชิดรอบ ๆ ตัว เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะคิดเห็นตรงกัน หรือยอมเออออห่อหมกกันไปด้วยความเต็มใจได้ทุกเรื่อง แต่ในความสัมพันธ์ที่ดี เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เราควรเลือกที่จะแก้ปัญหามากกว่าหมกปัญหา การปรับความเข้าใจให้ตรงกันคือสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำ อย่าปล่อยให้มันคาราคาซังจนค่อย ๆ กัดกินความรู้สึกของกันและกันไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ต่างคนต่างกำลังเดือด อารมณ์คุกรุ่นชนิดที่ทำลายล้างกันได้ ความเงียบสามารถช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ เงียบในทีนี้หมายความว่าเงียบเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง พอเย็นลงแล้วค่อยกลับมาคุยกันเป็นปกติ เงียบเพื่อเรียกสติ ไม่ใช่เงียบเพื่อปล่อยผ่าน
การไม่พูดจากันในช่วงที่แต่ละคนกำลังโมโหกันสุดขีด ก็เพื่อไม่ให้แต่ละฝ่ายหลุดคำพูดใจร้ายออกมาตามอารมณ์ คำพูดที่อาจหลุดออกมาโดยไม่ได้คิด หรือคิดแล้ว แต่เพราะใจยังมุ่งมั่นที่จะทำลายกันในสภาวะของความโกรธ ควรเงียบเพื่อลดทอนความรุนแรงทางอารมณ์ลงก่อน ไม่เช่นนั้นมันจะยิ่งไปกันใหญ่ แต่อย่าเงียบแบบหลีกเลี่ยงที่จะไม่หาทางออก นั่นคือการหนีปัญหาที่ไม่ส่งผลดีในความสัมพันธ์ แต่ละฝ่ายจะเริ่มสับสนในสถานการณ์ คิดไปเอง และเริ่มโทษตัวเองในที่สุด หากมีฝ่ายใดต้องการจะเคลียร์กันดี ๆ ก็อย่าพยายามสร้างดราม่าขึ้นมาในลักษณะที่ “ฉันเงียบแล้ว เธอยังไม่จบอีกเหรอ” เด็ดขาด นี่ไม่ใช่วิธีการรับมือความขัดแย้ง แต่เป็นการปฏิเสธที่จะปรับความเข้าใจ
ความเงียบ ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจกัน
การโยนความเงียบใส่กัน เป็นจุดเริ่มต้นของการคิดและคาดเดาไปเองจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจกันและกันเลยสักนิด ก็ในเมื่อเราไม่คุยกัน แล้วจะไปนั่งใช้กระแสจิตเพ่งสัมผัสเอาเหรอว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ นอกจากนี้ มันนำมาซึ่งความรู้สึกด้านลบอีกมากมาย ทั้งความสับสน ความกลัว กวามกังวล ความเครียด ดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ควรใช้ความเงียบเป็นเพียงการเบรกอารมณ์ที่คุกรุ่นเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการใช่อารมณ์ตวาดใส่กันแทนเหตุผล ไม่ใช่เงียบเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ซึ่งการบ่มหมักปัญหาไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากระเบิดเวลา
ไม่ว่าต่างฝ่ายจะมองว่าปัญหานั้น ๆ มันเลวร้ายแค่ไหน ก็ควรหันหน้ามาคุยกัน หรือต่อให้ไม่มีอะไรจะพูดจริง ๆ ก็อย่าทำเป็นเมินใส่กัน อย่าเงียบใส่กัน ทุกความสัมพันธ์ควรจะมีการสื่อสารที่ดีเพื่อให้เราเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ความเงียบอาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ก็จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะนำความเงียบมาใช้แก้ปัญหาได้ มันจะทำให้ความสัมพันธ์พังทลายลงเสียมากกว่า และอย่าคิดแทนกันว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ปล่อยผ่านไปได้โดยไม่พูดคุยกัน ปัญหาน่ะ วันนี้ปล่อยผ่านแต่สักวันมันจะกลับมา ดังนั้น ต้องพูดคุยให้ชัดเจน เปิดใจฟังอย่างมีเหตุผล เราจะได้เข้าใจกันในแบบที่มันควรจะเป็น เน้นประนีประนอมไม่ใช่เน้นการปะทะ เอาใจเขามาใส่ใจเราเสมอ แล้วปรับตัวเข้าหากัน
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : อย่าปล่อยให้ “ความเงียบ” บ่อนทำลายความสัมพันธ์
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น