ครีมกันแดด ตัวช่วยปกป้องผิวสวยจากแสงแดด
แสงแดดนั้นประกอบไปด้วยรังสีของแสงหลายประเภทที่มีความยาวคลื่นแตกต่างกันและไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตหรือที่เราเรียกกันว่า UV รังสี UVนี้มีความสามารถในการทะลุเข้าไปที่เซลล์ผิวได้สูง ซึ่งทำให้ผิวเกิดปฏิกิริยาจากสารอนุมูลอิสระได้ง่าย ซึ่งสารอนุมูลอิสระนี้เองที่เป็นตัวทำให้เซลล์ผิวเกิดความเสียหาย เกิดริ้วรอยและปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย
ครีมกันแดดในปัจจุบันนี้จึงต้องมีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถปกป้องผิวจากรังสีหรือแสง UV ให้ได้มากที่สุดเพราะรังสี UVนี้สามารถทะลุผ่านผิวหนังได้ทั้งชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ส่วน upper layers ซึ่งส่งผลเสียต่อผิวหนังอย่างมาก รังสี UV นั้นมีด้วยกัน 3 รูปแบบและส่งผลกระทบต่อผิวหนังแตกต่างกันไป แบบแรกคือ อัลตราไวโอเลตซีหรือ UVC แสงในรูปแบบนี้มีความอันตรายสูงมาก อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่ถูกบล็อกไว้ด้วยชั้นบรรยากาศของโลก จึงไม่ต้องกังวลกับรังสีรูปแบบนี้
http://www.eucerin.co.th/~/media/Eucerin/international/our-research/behind-the-science/sun-face-products-DNA-repair/EUCERIN-OR-Sun-face-products-behind-the-science-04_infographic.jpg?mw=545
รูปแบบต่อมาคือ อัลตราไวโอเลตเอหรือ UVA แสงรูปแบบนี้จะมีอยู่ในแสงแดดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน กระตุ้นให้เมลานินที่อยู่ในเซลล์ผิวหนังชั้นบนมากขึ้นจนผิวเข้มขึ้นได้ แต่เป็นเข้มขึ้นของผิวในระยะสั้นเท่านั้น แสง UVA นั้นจะเป็นแสงที่สามารถทะลุผ่านมาโดนผิวหนังได้ง่ายและมากที่สุดเนื่องจากสามารถทะลุผ่านกระจกได้ ทำให้มีโอกาสสัมผัสผิวหนังได้ง่ายก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวในด้านของริ้วรอย สามารถทำให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ง่าย ทำให้เกิดการก่อตัวของสารอนุมูลอิสระ และถ้าดวงตาได้รับแสงนี้ตรงๆบ่อยๆก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับตาและจอประสาทตาได้
และสุดท้ายคือ คือแสง UV แบบอัลตราไวโอเลตบีหรือ UVB แสง UV รูปแบบนี้ถ้าได้รับในปริมาณน้อยๆเช่นแสงแดดอ่อนๆในตอนเช้าจะเป็นตัวช่วยให้ผิวผลิตวิตามินดีและไม่ได้เป็นอันตราย แต่ถ้าโดนแสงรูปแบบนี้เข้าไปในปริมาณมากๆ เช่นแดดแรงๆตอนเที่ยงก็จะส่งผลให้ผิวไหม้ได้ เพราะแสงรูปนี้มีความผันผวนและปริมาณความเข้มแสงไม่เท่ากันตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่แล้วจะสูงมากในตอนเที่ยง แสงชนิดนี้สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างเมลานินที่มีสีค่อนข้างติดทนนานกว่าแสง UVA และยังกระตุ้นให้ผลิตเซลล์ผิวหนังชั้นนอกหนาขึ้นกว่าปกติด้วย แสงชนิดนี้จึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังได้มาก แม้จะเจาะลึกเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ไม่เท่าแสง UVA แต่ก็สามารถทำให้เกิดการสร้างสารอนุมูลอิสระได้ในทุกชั้นของผิวชั้นหนังกำพร้า ส่งผลทำร้ายได้ถึง DNA โดยเฉพาะช่วงที่แดดแรงๆและไม่ได้มีการสวมเสื้อผ้าปกป้องผิวหรือทาครีมกันแดดไป
ครีมกันแดดที่เลือกใช้จึงควรมีประสิทธิภาพที่สามารถปกป้องได้ล้ำลึกทั้งรังสี UVA และ UVB ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง สามารถคงตัวอยู่ได้แม้ว่าจะสัมผัสกับน้ำหรือเหงื่อ และมีค่าปัจจัยป้องกันแสงแดดหรือ SPF ที่เหมาะสมกับบริเวณและช่วงเวลาที่ต้องสัมผัสแสงแดด เพราะถึงแม้ความเข้มของรังสี UVA จะค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งวันแต่รังสี UVB นั้นไม่คงที่ บางช่วงเวลาอาจจะน้อยแต่บางช่วงเวลาก็อาจจะแรงมากได้เช่นกัน หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำงานในที่ที่มีแดดจัดๆเช่นตอนเที่ยงหรือตอนบ่ายได้ ไม่ว่าสำหรับผิวประเภทใดก็ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป เพื่อการปกป้องผิวที่ได้ผลมากขึ้น แต่ถ้าเป็นในพื้นที่หรือช่วงเวลาที่แดดกลางๆไม่แรงมาก สามารถใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำลงมากว่านั้นได้คือมีค่าระหว่าง 30-50 ถ้าเป็นที่ที่มีแดดอ่อนๆเท่านั้น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF 15-30 ก็เพียงพอ ส่วนตัวเลข SPF ที่ปรากฏอยู่นั้นจะเป็นตัวเลขที่บอกถึงจำนวนเท่าของการปกป้องผิวจากการเผาไหม้ของแสงแดด เช่น SPF30 ก็คือสามารถปกป้องได้ 30 เท่า แต่การเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงตลอดๆก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆจะก่อให้เกิดการแพ้ได้ง่ายและอาจทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอได้ เกิดผดผื่นคัน และอาจทำให้เสื้อผ้าส่วนที่สัมผัสกับครีมกันแดดเกิดคราบเหลืองๆติดเสื้อผ้าได้
ส่วนค่า PA ของครีมกันแดดนั้น คือค่าที่บอกประสิทธิภาพในการป้องกันผิวจากรังสี UVA ถ้าต้องอยู่ในที่ที่มีแสงแดดแรงๆควรเลือกที่มีค่า PA บวกมากๆไปเลย เช่น PA+++ ก็จะยิ่งปกป้องผิวได้ดีมากขึ้น แต่ถ้าเจอแสงแดดไม่ได้แรงมากแต่ต้องเจอเป็นเวลานานหลายๆชั่วโมงควรใช้ที่มีค่า PA++ ขึ้นไป แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ได้สัมผัสกับแดดแรงๆขนาดนั้น เลือกใช้ที่มีค่า PA+ ก็เพียงพอ
ในการใช้ครีมกันแดดนั้นควรทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาทีและควรทาซ้ำหลังออกแดดแล้วทุกๆ 2 ชั่วโมงเพื่อให้ครีมกันแดดสามารถทำหน้าที่ปกป้องได้อย่างเต็มที่และไม่ใช่เพียงแค่ผิวกายเท่านั้นที่เราต้องใส่ใจ ผิวหน้าเองก็สำคัญมากเพราะมีความบอบบางและถูกแสงแดดทำร้ายได้ง่าย เพราะแสง UV สามารถทำลายได้ถึงอีลาสตินและคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ นอกจากทำให้เกิดริ้วรอยอันไม่น่าพึงประสงค์แล้วยังก่อให้เกิด ฝ้า กระหรืออาการแพ้ต่างๆตามมาได้อีกด้วย
ครีมกันแดดในปัจจุบันนี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกเรียกว่า สารเคมีกันแดด สารกลุ่มนี้จะสามารถดูดซับรังสี UV เอาไว้ได้ แต่ประสิทธิภาพในการกันแดดก็จะลดลงด้วยตามระยะเวลาที่โดนแดด ครีมกันแดดประเภทนี้เวลาทาจะไม่ทำให้บริเวณที่ทาดูขาวเกินไปจากครีมกันแดด แต่ตัวสารเคมีบางประเภทก็อาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองได้ง่าย ควรลองทดสอบก่อนจะใช้โดยเฉพาะในผู้ที่ผิวบอบบาง
ส่วนครีมกันแดดอีกกลุ่มจะเป็นประเภท สะท้อนแสงแดดได้ สามารถสังเกตได้จากส่วนผสมของครีมกันแดดว่าจะมีสารประเภท ไททาเนียมไดออกไซด์หรือซิงออกไซด์ผสมอยู่ ครีมกันแดดประเภทนี้จะเป็นครีมกันแดดประเภทที่เนื้อครีมหนา ทาแล้วเป็นจะเห็นเลยว่าผิวส่วนที่ทาจะดูขาวๆจากเนื้อครีมกันแดดแต่สามารถกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ได้ดี ไม่เกิดการแพ้ได้ง่ายๆและไม่เสื่อมสภาพหลังโดนแดดนานๆอีกด้วย
แต่ถ้าหากผิวเกิดความเสียหายไปบ้างแล้วจากการทำร้ายของแสงแดด เช่นการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำที่ไม่พึงประสงค์ ในปัจจุบันนี้ก็มีเทคโนโลยีที่สามารถช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับสู่สภาพเดิมได้หรือจะเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอไรเซอร์และสารจำพวกไวเทนนิ่งก็ได้เช่นกัน ในครีมบางตัวปัจจุบันนี้ก็ผสมสารคอลลาเจนและ Q10 ที่มีส่วนช่วยเรื่องความกระชับของผิวได้ดี แม้การใช้ครีมอาจจะใช้เวลานานกว่าการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ต่างๆ แต่ก็ประหยัดและให้ผลดีต่อผิวเช่นกัน
ราคาพิเศษ 199 บาท ขนาด 15 กรัม
สนใจผลิตภัณฑ์ติดต่อได้ที่
Tel: 083-007-8589
Line ID: careandliving
(เจ้าของร้าน เจ้าของแบรนด์)
****สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองที่นั่งได้ที่****
ศูนย์อบรมเครื่องสำอาง JMC
(JMC Cosmetic Training Center)
Managing Director
Tel: 083-007-8589, Line ID: careandliving
สถานที่อบรม :
ศูนย์อบรมเครื่องสำอาง
อาคารเลขที่ 88/22 หมู่บ้าน เนอวานา พาร์ค (Nirvana Park)
ซ. รามคำแหง 53 ถ. รามคำแหง แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง 10310
มีฝ่าย R&D
พัฒนาสูตร และผู้เชี่ยวชาญดูแล อย่างใกล้ชิด
посуда от производителя россия
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ครีมกันแดด ตัวช่วยปกป้องผิวสวยจากแสงแดด
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น