ตำแหน่งเกียร์ออโต้แปลกๆ อย่าง 2, 1 และ L มีไว้ทำอะไร?
ตำแหน่งเกียร์ออโต้แปลกๆ อย่าง 2, 1 และ L มีไว้ทำอะไร? คนใช้รถเกียร์อัตโนมัติจะทราบถึงการทำงานที่แตกต่างกันระหว่างเกียร์ P, R, N และ D
การเปลี่ยนสีรถยนต์ให้ต่างไปจากที่พ่นมาจากโรงงานมีความผิดตามกฎหมาย แต่สามารถทำให้ถูกกฎหมายได้เช่นกัน
การเปลี่ยนสีรถยนต์บางส่วนหรือทั้งคัน เป็นหนึ่งในวิธีแต่งรถที่หลายคนชอบทำกัน แต่หากไม่แจ้งลงเล่มให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2549 ว่าด้วยการกำหนดสีและลักษณะของรถ โดยมีการกำหนดสีตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
– กรณีตัวรถมีสีเดียว ให้กำหนดสีที่เป็นสีหลักโดยไม่ต้องคำนึงถึงความเข้มของสีที่แตกต่างกัน
– กรณีตัวรถมีหลายสี ให้กำหนดสีที่เป็นสีหลักของรถไม่เกิน 3 สีแล้วแต่กรณี หากมีเกิน 3 สี ให้กำหนดสีหลัก แล้วตามด้วยสีลำดับท้ายสุดว่า “หลายสี” เว้นแต่ไม่สามารถกำหนดสีหลักได้ ให้กำหนดว่า “หลายสี” เพียงอย่างเดียว
– กรณีสีคาดหรือแถบคาดตกแต่งรถ โดยไม่ทำให้สีหลักของรถเปลี่ยนแปลงไป ไม่ต้องกำหนดเป็นสีรถ
ทั้งนี้ การแก้ไขเปลี่ยนสีของรถไม่ว่าจะดำเนินการด้วยวิธีใดๆ เช่น ติดสติกเกอร์, หุ้มฟิล์ม, เปลี่ยนชิ้นส่วนเป็นคาร์บอนเคฟล่า หรือการพ่นสีใหม่ จะต้องให้เจ้าหน้าที่กำหนดสีรถให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้น โดยสีอื่นจะต้องมีไม่เกินครึ่งหนึ่งของสีหลักที่จดทะเบียนไว้ เช่น การเปลี่ยนฝากระโปรงหน้าเป็นคาร์บอนเคฟล่าสีดำ ผิดจากตัวถังที่เป็นสีขาว ตามหลักถึอว่าไม่เกินครึ่งหนึ่ง ไม่มีความผิด แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่แต่ละคนได้เช่นกัน
การเปลี่ยนสีรถยนต์ จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียนภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่เปลี่ยนสี หากเกินกำหนด เจ้าของรถจะมีความผิดตามมาตรา 60 ระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
2.ภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน
3.หลักฐานการเปลี่ยนสีรถ เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าเปลี่ยนสี
เจ้าของรถจะต้องยื่นคำขอพร้อมหลักฐานทั้งหมด เพื่อขอนำรถเข้าตรวจสอบ จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบรถ เมื่อผ่านแล้วจึงชำระค่าธรรมเนียมและรับเอกสารคืน
Cr. auto.sanook.com
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : เปลี่ยนสีรถอย่างไรไม่ให้ผิดกฎหมาย?
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น