ปิดเมนู
หน้าแรก

ร่างสูงในคืนเดือนแจ้งและม้าพิศวง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

เปิดอ่าน 44 views

ร่างสูงในคืนเดือนแจ้งและม้าพิศวง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตอน ผีมีจริงหรือไม่ #2

หากให้ทบทวนความทรงจำแล้ว อย่างหนึ่งที่เป็นเรื่อง *ปกติ* ในบ้านเรา ก็คือ เรื่องของการพูดถึงภูติผีปีศาจ วิญญาณ สิ่งลี้ลับต่างๆ ด้วยเป็นสิ่งที่อยู่ในวิถีชีวิตของครอบครัวเรา อยู่ในวัฒนธรรมประเพณีในชุมชน และเป็นหนึ่งในสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในเลือดเนื้อพวกเรา ด้วยความคิด ความเชื่อ กับมวลประสบการณ์ที่ตกทอดสืบมา

เล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับประสบการณ์ลี้ลับ ซึ่งพ่อกับพี่สาวและพี่ชาย ได้ประสบมาด้วยกัน และเรื่องนี้ ทั้งสามคนก็เล่าเหตุการณ์ไว้ตรงกัน ผ่านมานานแสนนาน เมื่อถามพี่สาว ก็ยังเล่าได้ใจความแจ่มชัดเหมือนเดิม

เรื่องมีอยู่ว่า มีอยู่คืนหนึ่ง พ่อพาลูก 2 คน ก็คือพี่สาว และพี่ชาย ซึ่งอายุห่างกันประมาณ 2 ปี ไปดูหนังขายยาที่วัดของอีกหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่อเขตกับหมู่บ้านของเรา

วัดนั้นชื่อว่า วัดสันปง ซึ่งคนรุ่นเก่าหลายคนอาจจะพอจำได้ว่า เป็นวัดที่เคยมีเจ้าอาวาสโด่งดังมาก และต่อมาก็ตกเป็นประเด็นร้อนแรงเรื่องสีกา จนต้องสึกออกมานุ่งขาวห่มขาว ไปปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดดอยเล็กๆ แทน จนสิ้นอายุขัยลง

เกี่ยวกับยอดดอยนี้ ยังมีเรื่องเล่าตามตำนานปรัมปราอีกมากมาย เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟังต่อเนื่องกันไปตามลำดับ เพราะมีบางส่วนที่คล้องเกี่ยวกันอยู่ เหมือนนิยาย

กลับมาที่เรื่องของ 3 พ่อลูกในคืนเดือนหงาย ใช่แล้วล่ะ คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย พ่อ พี่สาว พี่ชาย เล่าไว้ตรงกันว่า เป็นคืนที่แสงจันทร์แจ้งกระจ่าง แล้วทั้ง 3 คนก็เดินกลับมาจากวัดสันปง มุ่งหน้ามาตามถนนเพื่อจะกลับบ้านยังหมู่บ้านของเรา (ตอนนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เกิด)

ขณะที่เดินมาถึงสามแยกหนึ่ง ซึ่งเชื่อมเข้าหาถนนสายหลักของหมู่บ้าน พอเลี้ยวโค้งหัวมุม จู่ๆ กลางถนนที่ว่างเปล่าก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้า

พี่สาวเล่าว่า ไม่ทันเห็นเลยว่าร่างนั้นมาจากไหน แต่ในแสงเดือนที่แจ้งมากๆ ก็ได้เห็นว่าเป็นร่างดำๆ สูงใหญ่ สวมหมวกสักหลาดสีดำ เดินช้าๆ แต่ก็ดูไม่ค่อยปกติธรรมดาเท่าไหร่

พี่สาวกับพี่ชาย ต่างจับมือพ่อแน่น แล้วพี่สาวก็ถามพ่อขึ้นว่า

“พ่อ นั่นใครน่ะ”

พ่อตอบกลับมาเบาๆ ว่า

“ผี”

พี่สาวมาเล่าย้อนหลังว่า พอพ่อพูดเช่นนั้น อีกพริบตา ร่างนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตา

“มันหายตัวเหมือนในหนังเลย จู่ๆ ก็วาบ! หายเข้าข้างรั้วสังกะสีไป หายไปต่อหน้าเราสามคน”

ครั้งนั้นพี่สาวตกใจมาก ถึงกับกระโจนอ้อมมาอีกฝั่งที่มีพี่ชายอยู่ เกาะแขนพี่ชายแน่น

พ่อยังมีมุขตลกในภายหลังอีกว่า เมื่อเล่าให้ใครๆ ฟัง ก็จะตบท้ายว่า

“นี่ถ้าไม่ติดว่ามีละอ่อน ก็เผ่นแต่แรกแล้วแหละ”

ว่าด้วยการเห็นผีเป็นตัวๆ นี้ จะว่าไปแล้ว การเห็นเพียงลำพังก็อาจยังมีช่องว่างให้คิดได้ว่า เป็นภาพหลอน เป็นภาพลวงตา หรือเป็นภาวะคลุมเครือที่อาจเกิดจากความผิดเพี้ยนของระบบประสาทได้

แต่การเห็นผีพร้อมกันถึง 3 คน ทำให้ต่างคนต่างเป็นพยานซึ่งกัน และกัน และเป็นประสบการณ์ร่วมที่ทำให้จดจำได้ไม่ลืมเลือน

ดังที่พี่สาวบอกว่า “มันก็แปลกแท้ จะว่าตาฝาดก็เห็นเหมือนกันทุกคน แล้วพ่อก็รู้แต่แรกเลยด้วยว่านั่นเป็นผี พี่สิ ไม่รู้ แล้วยังไปทักถามอีก”

สำหรับคนทางเหนือ มีสิ่งหนึ่งที่จะสอนสั่งกันมาคือว่า เวลาเห็นผี ได้ยินเสียงผี หรือรู้ว่ามีผี อย่าได้เอ่ยปากทักเขา เพราะเมื่อมีการทักกันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะคนทักผี หรือผีทักคน ก็จะมีเรื่องราวต่อเนื่องตามมา

ดังที่หลายครั้งก็จะมีการเจ็บป่วยที่คนทางนี้เชื่อว่า มาจากการถูกผีทัก และในหมู่บ้านของเราสมัยก่อนนั้น ก็พ่อของเรานี่เอง ที่จะต้องเป็นคนไป *ส่งผี, เลี้ยงผี* หรือ *ไล่ผี*

เล่าเรื่องเกี่ยวกับพี่สาวแล้ว ก็นึกได้ว่ามีอีกเรื่อง อยากจะบันทึกไว้เสียพร้อมกัน และอาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่เอาไว้พิจารณาร่วมกันว่า สิ่งนั้นคืออะไร

ย้อนกลับไปยังอดีตอีก ตอนที่ข้าพเจ้าอายุได้ราวๆ 3-4 ขวบ ยายของเราก็เสียชีวิตลง

ยายล้มลงตายข้างเตาไฟในห้องครัว ตายไปอย่างเรียบง่ายฉับพลัน หากเป็นสมัยนี้ อาจวินิจฉัยว่าเป็นเส้นเลือดในสมองแตก หรือหัวใจล้มเหลว หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ร่างกายแตกดับอย่างรวดเร็ว

แต่ในสมัยนั้น คนก็รู้กันเพียงว่า ล้มตาย คือล้มจริงๆ นั่งบนตั่งเตี้ยๆ (ทางเหนือเรียก ก๊อบ หรือก้อม) แล้วก็หงายหลังลง ตายจากไปในชั่วห้วงเวลา

และในคืนที่มีการตั้งศพอยู่ น่าจะประมาณคืนที่ 2 ก่อนจะนำร่างเข้าประสาทแล้วเผาไปตามประเพณี พี่สาวซึ่งอายุประมาณ 11-12 ปี ก็ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

พี่สาวเล่าว่า คืนนั้นพี่สาวนอนไม่หลับ ทั้งเพราะกลัวผีของยายด้วย (พี่สาวกับพี่ชายเป็นพี่น้องร่วมพ่อกับข้าพเจ้า แม่ของพวกพี่ๆ เสียชีวิตไปก่อนพ่อจะมาอยู่กินกับแม่ ตอนยังเล็ก พี่ๆ จึงมาอยู่กับเราด้วยกัน)

สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ในห้องนอนจะมีตะเกียงน้ำมันก๊าดอยู่ ทางเหนือเรียกว่า “กม” คืนนั้น พี่ชายยังไม่เข้ามานอน พี่สาวก็นอนอยู่เพียงลำพังบนฟูกสะลี (ที่นอนยัดนุ่น) แล้วทันใด ก็มีม้าตัวหนึ่งย่างเข้ามาในห้อง เข้ามาทางประตู

ม้าตัวนั้นมีสีออกน้ำตาลแดงเหมือนม้าปกติทั่วไป แต่มีขนาดลำตัวย่อมๆ พี่สาวทำมือบอกขนาดให้ดู ก็น่าจะประมาณหมาตัวใหญ่ๆ

“แต่มันเป็นม้า พี่ยังจำได้ถึงทุกวันนี้” พี่สาวว่า

“มันเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง แต่ไม่ใช่เดินบนพื้นด้วยนะ มันคล้ายๆ จะลอยอยู่”

ถามว่า มันทำอะไรบ้าง

พี่สาวว่า “มันก็ไม่ได้ทำอะไร มันเดินไปรอบๆ ห้อง แล้วพี่ก็กลัวมากๆ ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าส่งเสียง”

พี่หลับอยู่หรือเปล่า เป็นความฝันไหม

“ไม่ใช่ฝัน คืนนั้นพี่ยังไม่หลับ กลัวผียายก็กลัว เลยนอนหลับตาอยู่ในห้อง จนม้ามันเข้ามานั่นแหละ”

และสิ่งที่พี่สาวจำได้แม่นยำก็คือ เมื่อม้าเดินวนไปรอบๆ ห้องแล้ว มันก็เดินมาหยุดที่หน้าตะเกียงน้ำมันก๊าด ยกตีนขึ้นย่ำดับไฟ

ไฟดับวูบ แล้วม้าก็หายไปพร้อมกัน เรื่องนี้เป็นอีกสิ่งที่ทำให้พี่สาวเชื่ออย่างแม่นมั่นว่า ผีมีจริง

สำหรับเหตุการณ์เรื่องม้าปริศนาน่าพิศวงนี้ อันที่จริงแล้ว ทางเหนือเราเองก็มีตำนานผีที่เป็นม้าอยู่หนึ่งตน คือ *ผีม้าบ้อง*

ผีม้าบ้องนี้ ว่ากันว่า จะเป็นผีที่มีลักษณะคล้ายๆ เซนทอร์ (Centaur)ในตำนานเทพปกรณัมกรีก คือมีหัวเป็นคน ร่างเป็นม้า

แต่ผีม้าบ้องของทางเหนือล้านนานั้น น่าสนใจว่ามีผู้พบเห็น และมีประสบการณ์แตกต่างกันไป บ้างว่าเคยได้เห็นเป็นตัว บ้างว่าเคยได้ยินเสียง แต่ที่แน่ๆ แม่และเพื่อนสนิทของข้าพเจ้า เคยมีประสบการณ์เรื่องผีม้าบ้องโดยตรง

แต่น่าจะต้องยกไปต่อกันอีกในตอนหน้า บอกแล้วว่าเรื่องผีน่ะ มันจะมีเรื่องเกี่ยวโยงกันไปมา และถ้าเราจะยังอยู่กับคำถามที่ว่า “ผีมีจริงหรือไม่?”

สำหรับข้าพเจ้า และคนในครอบครัวแล้ว พวกเราอยู่ในกลุ่มที่เชื่อด้วยประสบการณ์ส่วนตัวว่า พวกเขามีอยู่จริง

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ร่างสูงในคืนเดือนแจ้งและม้าพิศวง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์