กลุ่มผลไม้ที่มีน้ำเยอะ ได้แก่ ลูกแพร์ มะเขือเทศ แตงโม และลูกพลับ เป็นผลไม้ที่จะช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี แต่ควรกินก่อนมื้ออาหารทุกครั้งเพื่อช่วยให้อิ่มท้อง และยังทำให้กินจุบจิบในระหว่างวันน้อยลง นอกจากนี้ผลไม้ที่มีน้ำมากยังมีสารที่เป็นกรดและอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ง่าย เช่น ลูกพลับซึ่งมีสารประเภทกรดแทนนิกในปริมาณสูง ถ้าเผลอไปรับประทานในช่วงที่ท้องกำลังว่าง ก็จะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องได้
เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ เนื่องจากในรสเปรี้ยวนั้นจะมีสารที่สามารถกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารออกมา จึงไม่ควรกินในช่วงท้องว่างอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้มีอาการปวดท้อง และจุดเสียดแน่นท้องได้ค่ะ
ผลไม้เหล่านั้น ได้แก่ สัปปะรด มะละกอ และกีวี ซึ่งผลไม้กลุ่มนี้มีเอนไซม์ ที่ช่วยในการย่อยสลายโปรตีนในร่างกายได้ หากรับประทานในช่วงที่ท้องว่างจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและปวดท้อง ดังนั้น จึงควรรับประทานหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่กินเนื้อสัตว์ติดมันหรือเนื้อสัตว์ย่อยยาก การกินสัปปะรดหรือผลไม้รสเปรี้ยวตบท้าย จะยิ่งช่วยให้เนื้อสัตว์เหล่านั้นย่อยสลายได้เร็วขึ้น แถมยังช่วยป้องกันท้องผูกไปในตัวอีกด้วยนั่นเอง
เช่น ฝรั่ง องุ่น แอปเปิ้ล ชมพู่ ผลไม้กลุ่มนี้มีรสชาติที่ไม่เปรี้ยวหรือหวานเกินไป จึงไม่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ซึ่งเหมาะสำหรับทานก่อนมื้ออาหารและยังเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังสามารถทานได้ตลอดทั้งวันแม้ในขณะที่ท้องว่างก็ตาม
จริงอยู่ที่ผลไม้ทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แต่อย่าลืมนะคะว่าบางชนิดก็มีค่าความเป็นกรดสูง สังเกตง่ายๆ จากผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หากกินเข้าไปในช่วงท้องว่างก็ย่อมก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ดังนั้น หากต้องการกินจริงๆ ควรกินหลังมื้ออาหารจะดีกว่า เพราะกรดดังกล่าวจะได้หลั่งเอนไซม์มาช่วยย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง แต่ผลไม้ชนิดใดที่รสชาติกลางๆ ก็สามารถกินได้ตลอดเวลาโดยที่ไม่มีโทษต่อสุขภาพ ซึ่งการที่เราศึกษาข้อมูลไว้แบบนี้ก็เพื่อผลดีต่อร่างกายของเรานั่นเองค่ะ
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : 4 เคล็ดลับเลือกกินผลไม้อย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น