ปิดเมนู
หน้าแรก

เรื่องของ “ฝ้า” อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สาวๆ กังวล

เปิดอ่าน 223 views

เรื่องของ “ฝ้า” อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สาวๆ กังวล

อากาศช่วงนี้ขมุกขมัว มีมลภาวะคละคลุ้งชวนให้ป่วยหลายโรค สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยเพื่อสุขภาพของตัวเอง คือการใส่หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นละออง

มีหลายโรคที่มาพร้อมฝุ่นและแสงแดดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ คือ เรื่องของ ฝ้า” (Melasma) ที่ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย หรือ DST  ออกมาเตือนให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงนี้ 

 

“คุณหมอ รศ.พญ. รังสิมา วณิชภักดีเดชา” ได้ให้ข้อมูล “สารพันปัญหาเรื่องของฝ้าสำหรับผู้หญิง ไว้

ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเดินทางมารักษาฝ้า (Melasma) กับหมอผิวหนังเป็นจำนวนมาก ฝ้ามักพบในคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย  พม่า  ลาวและกัมพูชา เนื่องจากได้รับแสงแดดมากกว่า ทำให้อุบัติการณ์ของการเกิดฝ้าในประเทศไทยพบได้ประมาณ 0.25-0.33% และอัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายคือ 2-24 ต่อ 1 โดยข้อมูลสถิติโรคผิวหนังของภาควิชาตจวิทยา โรงพยาบาลศิริราชในปี พ.ศ. 2545 พบว่าผู้ป่วยที่มารับการรักษาฝ้าถึง 2.3% ของผู้ป่วยทั้งหมด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จึงอยากจะให้คำแนะนำเพื่อเป็นความรู้สู่ประชาชนในเรื่องการดูแลรักษาฝ้าให้กับสาวๆ ทุกคนที่รักความสวยความงามเฝ้าระวังไม่ให้เป็นฝ้าอย่างถูกวิธี

เรื่องของฝ้าเป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่ถ้าผู้ป่วยมีความกังวลเรื่องความสวยงาม อาจต้องทำความเข้าใจว่าการรักษาฝ้านั้นค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานานและอาจหายไม่หมดหรือหายแล้วก็อาจกลับเป็นใหม่ได้ง่าย

 

“ฝ้า” จะมีลักษณะเป็นผื่นที่มีลักษณะเป็นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า และมักเป็นเท่ากันทั้งสองข้าง (symmetry) โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก และคาง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ดังนั้นผื่นจึงมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ในผู้ชายก็พบได้ และพบในผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน


สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า
 ประกอบด้วย 

  1. การได้รับแสงอัลตราไวโอเลตทั้ง A (UVA) และ B (UVB) ที่มีอยู่ในแสงแดด เป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า 
  2. ฮอร์โมนเพศหญิง  โดยเฉพาะ estrogen เนื่องจากผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย โดยมักพบในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิดและช่วงตั้งครรภ์
  3. พันธุกรรมและเชื้อชาติ โดยพบว่าคนเอเชียเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวขาวและสามารถพบในครอบครัวเดียวกันได้บ่อยด้วย

สำหรับในเรื่องของการรักษาฝ้านั้น มักใช้หลายวิธีในการรักษาร่วมกัน คือ 

  1. การรักษาตามสาเหตุและแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เช่น พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด 
  2. การทำให้ฝ้าจางลงโดยการใช้สารที่ทำให้ผิวขาว โดยทั่วไปมักใช้ยาทาผสมกันหลายตัว และต้องดูผลการรักษาบ่อยๆ ทุก 1-2 สัปดาห์ เพื่อสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวตรงที่ทายามีอาการแดง หรือบางลงกว่าปกติ ถ้ามีผลข้างเคียงอาจต้องปรับยา
  3. การลอกฝ้าด้วยสารเคมี ซึ่งเป็นวิธีการเสริม เพื่อทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้น โดยทั่วไปจะใช้กรดอ่อน ๆ เช่น alpha hydroxyl acids (AHAs) หรือ trichloracetic acid 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบน ๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีที่อยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้านั้นจะต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3-4 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น แต่หากทำเองหรือไม่ใช่แพทย์ผู้ไม่ชำนาญมีโอกาสเสี่ยงซึ่งผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เช่น หน้าลอกหรือไหม้ได้

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : เรื่องของ “ฝ้า” อีกหนึ่งปัญหาผิวที่สาวๆ กังวล