พูดถึงเรื่องศิลปะบนเรือนร่างอย่างรอยสักแล้ว เราได้นำเสนอไปแล้วมากมาย แต่คราวนี้เราจะพาไปรู้จักกับมันแบบเต็มๆ ทุกแง่มุมที่มีคนสงสัย โดยมีสมาชิกเว็บ pantip ท่านนึงที่หลงไหลและรักในการสัก ได้โพสไว้น่าสนใจมาก เพราะมันครบถ้วนทุกองค์ความรู้เกี่ยวกับการสักเลยก็ว่าได้ และเหมาะสำหรับมือใหม่มากด้วย ลองไปดูกันเลยดีกว่าครับ
เลือกช่างสักอย่างไร?
เหตุผลคือเราโฟกัสที่ช่างมากกว่า ร้านสักมันก็เป็นแค่ตัวร้านน่ะ ปีนี้ช่างคนที่สักด้วยอาจจะอยู่ประจำที่ร้านนึง เพราะงั้นเราควรโฟกัสที่ตัวคนมากกว่าสถานที่ แล้วเราจะเลือกช่างสักยังไงดีละ คำตอบง่ายๆ เลยคือต้องรู้ก่อนว่าเราอยากจะสักงานแบบไหน สิ่งแรกที่มือใหม่ต้องจำไว้นะ ช่างจากแต่ละร้านไม่ได้ถนัดงานไปหมดทุกแบบ ช่างหลายๆคนจะมีงานสไตล์ที่ตัวเองถนัด ทำได้ดีโดดเด้งออกมาอยู่ก็แบบสองแบบนี่แหละ ไม่มีหรอกช่างเทพๆที่ถนัดไปหมด ทำได้ทุกแนวน่ะ แล้วช่างที่หาสไตล์ตัวเองไม่เจอ ใครเอาแบบอะไรมาให้ก็สักไปงั้นๆ ไม่ปฏิเสธสักแนว แบบนี้คงไม่ใช่ช่างที่ดีเท่าไหร่นัก
อีกเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ อย่าเลือกช่างสักจากราคา ร้านสักมีมากมายหลายราคา ทั้งถูกทั้งแพง ที่พูดกันว่ารอยสักถูกๆไม่เคยดี มันก็ไม่ใช่เสมอไป ช่างสักบางคนอยู่มาเก่าแก่ อยู่มานาน อาศัยกินบุญเก่าไปเรื่อยๆ ผลงานที่โดดเด่นชัดเจนว่าเก่งสไตล์ไหนก็ไม่ประจักษ์ชัด แต่คนก็แห่แหนกันไปสักด้วยเยอะแยะ และต้องจ่ายในราคาที่แสนแพง
ต่างกับช่างหัดใหม่บางคนที่มีการพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความที่พรรษายังไม่แก่กล้าจะให้ไปตั้งราคาแพงๆคงไม่ได้ ก็เลยต้องตั้งราคาต่ำๆ หน่อยตามที่ประเมินฝีมือตัวเอง จะมานึกว่าช่างที่คิดค่าสักถูกๆ คือช่างฝึกหัด และช่างฝึกหัดฝีมือยังไม่ดีพอจะทำให้เราได้งานไม่ดี
ดังนั้นไม่ควรไปใช้บริการกับช่างฝึกหัดหรือช่างที่ยังไม่เทิร์นโปรฯเต็มตัว ความคิดแบบนี้มันก็ไม่ถูก เราเชื่อนะว่าถ้าศึกษางานสักมาพอสมควร ได้ดูตัวอย่างงานไทยและงานนอกมากพอ เราจะแยกได้เลยว่างานสักจากช่างราคาถูกคนไหนคืองานกากๆ งานไหนคืองานสักจากช่างหัดใหม่ที่ฝีมือเข้าท่าแต่ตั้งราคาแบบคนเจียมตัว ถ้าไม่มีลูกค้าแล้วเขาจะฝึกกับใครที่ไหน ฝึกกับหนังเทียมมันก็ไม่เหมือนคนจริงหรอก เราเข้าใจว่าทุกคนก็อยากได้รอยสักที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองมีเงินจ่ายไหว แค่อยากให้ลองมองในมุมนี้ดูบ้าง
ร้านสักแบบไหนไว้ใจได้เรื่องความสะอาด?
- บรรยากาศภายในร้านต้องโล่ง โปร่ง ไม่แออัด หรือดูอับชื้น
- ช่างสักใส่ถุงมือแบบใช้แล้วทิ้งป้องกันอยู่ตลอดเวลาที่ทำการสัก
- สิ่งของเครื่องใช้ที่มีโอกาสจะสัมผัสตัวลูกค้าและช่างสัก เช่น สายไฟเครื่องสัก แขนเก้าอี้นั่งสัก โต๊ะวางหมึกสัก จะต้องทำการหุ้มด้วยพลาสติคป้องกัน
- เข็มที่ใช้สักจะต้องเปิดใหม่จากซองสเตอริไลซ์ เป็นเข็มใหม่ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน
- กระบอกสักที่สามารถใช้ซ้ำได้ก็ต้องอยู่ในซองสเตอริไลซ์ที่ทำไว้ใช้กับเครื่องอบความดันไอน้ำ (autoclave) ด้วยเช่นกัน
- มีดโกนที่ใช้กำจัดขนในส่วนที่จะสักก็ต้องเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง และถูกเปิดใหม่ให้เห็นๆกันเลย
- ก่อนจะนำเครื่องมือที่สามารถใช้ซ้ำได้ไปเข้า autoclave จะต้องทำความสะอาดด้วย ultrasonic cleaner
- สำหรับ autoclave และ ultrasonic cleaner จะต้องเก็บแยกไปในส่วนที่สะอาด ปลอดเชื้อจริงๆ เป็นห้องที่ไม่ให้คนภายนอกเข้า และทำ spore test กับเครื่องด้วย มีระบบที่ดีในการจัดการ waste disposal ต่างๆภายในร้าน ในต่างประเทศเขามีบริษัทที่ให้บริการเรื่องนี้เป็นกิจจะลักษณะเลยนะ แต่เอาบริบทบ้านเราคิดว่าคงมีร้านสักน้อยแห่งมากที่จะจ้างมาใช้บริการ (คงมีแต่สถานพยาบาลใช้กันมากกว่า) เอาว่ามีถังขยะอันตรายที่แยกเป็นสัดส่วนชัดเจนและกำจัดทิ้งจริงๆก็พอแล้ว สำหรับมาตรฐานแบบไทยๆ ซึ่งถังขยะอันตรายที่ใช้งานในร้านสักก็สามารถหาซื้อได้จาก supplier ที่ขายอุปกรณ์เกี่ยวกับการสักแบบครบวงจรอยู่แล้ว
- หมึกที่ใช้สักต้องเป็นแบรนด์ที่ไว้ใจได้ ดูมีมาตรฐาน ก่อนจะสักควรทำการบ้านไปก่อนว่าหมีกแบรนด์ที่นิยมใช้กันในไทยมีอะไรบ้าง ฉลากเป็นยังไง มีกี่ขนาดความจุ เผื่อเจอฉลากที่หน้าตาแปลกๆมาจะได้ไหวตัวทัน
- ไม่ควรมีลูกค้าคนหรือแม้แต่ช่างคนอื่นที่ไม่ได้สักให้เราดื่มของมึนเมาหรือใช้สารเสพติดชนิดต่างๆในขณะที่เรารับการสัก
เลือกลายแบบไหนถึงจะดี?
- เสพย์งานสักในเนท เป็นวิธีที่ง่ายมากสำหรับยุคนี้ หาคลิป รูป บทความ บล็อก อะไรก็ตามเท่าที่จะหาได้เกี่ยวกับรอยสักสไตล์ที่สนใจมาดู ดูไปเรื่อยๆแนวทางที่เราต้องการจะออกมาเอง
- ใช้ศิลปะเป็นตัวช่วย ข้อนี้จะดีมากสำหรับคนที่หลงใหลงานศิลปะหรืองานฝีมือแขนงอื่นอยู่แล้ว ออกไปเดินแกลอรี่หรือนั่งปักผ้าอยู่กับบ้าน ก็สามารถหาแรงบันดาลใจใหม่ๆได้เหมือนกัน
- ดูหนังฟังเพลง หนังและเพลงเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจชั้นดี เก็บเกี่ยวความประทับใจที่มีในเพลง หนัง หรือแม้แต่หนังสือเล่มโปรด แล้วเอามาสักทั้งประโยคก็ได้ หรือจะตีความจากตัวอักษรเป็นภาพก็ยังได้เลยนะ
ลายสัก custom เป็นยังไง?
รู้จักคำว่า custom made มั้ยละ มันก็คือสินค้าอะไรที่ออกแบบและสั่งทำมาเฉพาะตัวเพื่อลูกค้าคนนั้นแต่เพียง ผู้เดียวนั่นแหละ และสินค้าในที่นี้ก็คือรอยสัก ส่วนมากรอยสัก custom จะพูดถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรที่เป็นความประทับใจ ความทรงจำ หรือเรื่องเตือนใจ ลูกค้าจะต้องออกไอเดียให้ช่างไปร่างแบบมา บอกด้วยละว่าอยากได้ไว้ตรงไหน หรือจะร่างเองคร่าวๆ ก่อนก็ได้ถ้าพอจะมีความสามารถด้านการออกแบบอยู่บ้าง แล้วช่างจะตบๆให้ทุกอย่างเข้าที่เอง
มียาชาให้ใช้มั้ย?
คำตอบคือ มี ยาชาส่วนมากที่ใช้ในงานสักจะมี 2 แบบ กลุ่มแรกเป็นครีมหลอดๆทาก่อนเริ่มงานได้เลย ส่วนอีกแบบคือแบบพ่น ที่เอาไว้ใช้ตอนสักไปแล้ว มักจะใช้ในกรณีที่ลูกค้าทนไม่ไหวจริงๆ แต่มันก็เหลืออีกนิดเดียวแล้ว ช่างก็จะพ่นยาแล้วรอสัก 5 นาที เพื่อให้ผิวหนังชาและรีบทำการสักต่อไปจนจบได้ในที่สุด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใช้ยาชาแล้วจะไม่เจ็บเลยนะ มันก็ยังเจ็บอยู่ แต่จะน้อยลงกว่าเดิมแค่นิดหน่อย
ช่างสักเขาคิดราคากันยังไง?
คิดว่าอันนี้คงเป็นอีกคำถามนึงที่หลายๆ คนอยากรู้ โดยคร่าวๆแล้วการคิดราคาของช่างจะแบ่งเป็นสองแบบ คือการตีราคาแบบเหมาทั้งชิ้นงานหรือการคิดค่าตัวเป็นรายชั่วโมง ส่วนมากช่างที่เทิร์นโปรฯแล้วกับช่างดังๆจะชอบคิดเป็นรายชั่วโมง อย่างต่ำๆ ก็เริ่มที่ 2000 มีเรื่อยไปยัน 7000-8000 โน่นเลย
ส่วนการตีราคาเหมาทั้งชิ้นมักจะเป็นวิธีที่ช่างหัดใหม่หรือช่างที่พรรษายังไม่แก่กล้ามากเขาใช้กัน การตีราคาก็ดูที่ขนาด สี หรือความซับซ้อนของลาย
มาพูดถึงการคิดราคารายชั่วโมงต่อ เขาจะมีตัวที่จับเวลาติดไว้กับเครื่องสัก เข็มขยับตอนไหนเลขเวลาจะเดินไป เป็นวิธีที่เที่ยงตรงมาก เพราะถ้าไม่มีตัวจับเวลาที่ทำงานสัมพันธ์กับเข็มสักแล้ว ถ้าช่างอู้ แกล้งทำช้าๆ ก็จะยิ่งกินเวลานาน การจะสักกับช่างที่คิดราคาเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นงานที่ไม่ใหญ่มาก สามารถจบได้ภายในไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง เขาก็มักจะเอารวดเดียวให้มันจบในนัดครั้งนั้นเลย
งานไหนที่ใหญ่มากๆถึงจะแบ่งทำ อย่างงานเต็มหลังเดินเส้นอย่างเดียวก็กินไป 2 ชั่วโมงได้แล้ว วันหลังค่อยมาลงสีกันอีก แบ่งการลงสีเป็นส่วนๆไป กว่าจะเสร็จก็นานหลายเดือน แบ่งจ่ายเอาเป็นงวดๆตามที่มาทำ ไม่ได้ต้องจ่ายเงินโครมทั้งก้อนใหญ่ 50-60k แบบนั้น หรือใครที่มีงบจำกัด อยากทำทีละชั่วโมงไปก็สามารถบอกช่างได้นะ ไม่ต้องอาย ช่างเขามีวิธีบริหารเวลาเพื่อสักให้ออกมาจนได้แหละ
โดยทั่วไปช่างจะให้ลูกค้าทำการมัดจำเสียก่อนที่จะจองวันสัก ช่างที่คิดค่าตัวแบบรายชั่วโมงก็มักจะให้มัดจำด้วยราคาครึ่งชั่วโมง ถ้าสักเกินกว่านั้นก็มาจ่ายเพิ่มหน้างาน สักพอดีครึ่งชั่วโมงก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่สักเหลือเวลาอันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันนะเพราะยังไม่เคย ส่วนช่างพรรษาน้อยส่วนมากจะให้มัดจำที่ 500-1000 นึงเป็นอย่างมาก ถ้าต้องจ่ายเพิ่มก็ไปว่ากันหน้างาน
เตรียมตัวยังไงก่อนไปสัก?
- ถ้าจะสัก quote ให้ตรวจสอบตัวสะกดให้แม่นยำหลายๆครั้ง ทั้งตรวจเองและให้คนรอบตัวช่วย ยิ่งถ้าเป็นภาษาต่างประเทศยิ่งต้องเช็คหลายๆรอบเลย เปิดพจนานุกรมดูตัวสะกดและความหมาย หาเจ้าของภาษาตัวจริงมาถาม ถ้าเป็นประโยคยาวๆก็ต้องเช็คแกรมม่าด้วย บางคนไม่ได้รู้ภาษานั้นๆแล้วไปสักมา ออกมาเป็นคำบ้าๆ บอๆ ดูตลก หรือเป็นประโยคที่ไม่ makes sense เลย ควรปรินท์คำที่ถูกต้องด้วยตัวพิมพ์ปกติติดไปด้วยเพื่อเช็คซ้ำหลังจากที่ช่าง วาดลงกระดาษลอกลาย การสัก quote ต้องระวังที่สุด อย่าชุ่ยเด็ดขาด recheck เยอะๆ เพราะผิดขึ้นมาจะดูโง่มาก
- ในกรณีที่ลายไม่ได้ยากมากถึงขนาดที่ต้องคุยงานก่อนวันนัดและช่างออกแบบไว้ นานๆ ก็ต้องเตรียม reference ไปให้พร้อมอยู่ดี จะได้ไม่ฉุกละหุกหน้างาน
- หลีกเลี่ยงการทำผิวแทนด้วยวิธีการต่างๆอย่างน้อย 1 อาทิตย์ก่อนนัด ถ้าเป็นการอาบแดดหรือใช้เตียงยูวีมันจะกระทบกระเทือนผิวมาก ถ้าเป็นการทาครีมชั่วคราวมันก็จะออกมาเละ แลดูไม่งามเท่าที่ควร
- ก่อนทำการนัดควรคำนวนรอบเดือนก่อนสำหรับผู้หญิง ช่วงที่มีรอบเดือนไม่ควรสัก เพราะประสาทสัมผัสจะไว ยิ่งทำให้รับรู้ความเจ็บได้ง่ายขึ้น
- ไม่ควรสักระหว่างช่วงที่เข้าคอร์สเลเซอร์ขนตามร่างกายหรือหลังจากแว๊กซ์ขนไม่เกิน 1 อาทิตย์ เพราะผิวจะกระทบกระเทือนได้เช่นกัน
- ไม่ควรสักระหว่างช่วงที่เข้าคอร์สเลเซอร์ขนตามร่างกายหรือหลังจากแว๊กซ์ขนไม่เกิน 1 อาทิตย์ เพราะผิวจะกระทบกระเทือนได้เช่นกัน
- สำหรับผู้ชายขอเตือนเลยว่าสครับผิวกันซะบ้าง หลายๆคนเกิดมาไม่เคยใช้สครับเลยหรือแม้แต่ใยขัดตัวตอนอาบน้ำ มีแค่สองมือเปล่ากับสบู่เท่านั้น แล้วคิดดูว่าขี้ไคลจะหมักหมมแค่ไหน มันไม่ดีหรอกที่จะสักลงไปบนผิวแบบนั้น และก็น่าอายด้วย
- สำหรับสาวๆ ถ้าจะสักบริเวณใกล้รักแร้ ช่วยกำจัดขนรักแร้ไปก่อนด้วย คุณอาจจะไม่อายช่าง แต่ช่างมักจะถ่ายรูปผลงานของเขาไปลงในสื่อโซเชียลต่างๆ มันก็จะติดไปในรูป บางทีช่างก็จะแท็กหาคุณด้วยนะ เมื่อนั้นแหละได้อายสายตาประชาชีแน่ๆ นอกเสียจากว่าคุณเป็นเฟมินิสท์ที่มองว่าผู้หญิงมีขนรักแร้คือเรื่องที่โคตร ปกติเลย อันนี้ก็เอาที่สบายใจเลยจ้า
- ซื้อเครื่องใช้ที่จำเป็นในการดูแลรอยสักไว้ให้พร้อม จะได้ไม่ต้องฉุกละหุกเตรียมหลังสักเสร็จ นอกบ้านสิ่งสกปรกมันเยอะ แผลสักก็คือแผลเปิด สักเสร็จก็รีบกลับบ้านมาอยู่ในที่ของเราเองที่จะดูแลความสะอาดได้สะดวกดีกว่า
- พยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 2 คืนก่อนวันนัด
- ในวันนัดต้องกินข้าวให้อิ่ม อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด จะทำให้เป็นลมได้
- ไม่ควรดื่มของมึนเมาหรือใช้สารเสพติดด้วยจุดประสงค์ที่ว่าจะช่วยระงับความ เจ็บปวด แอลกอลฮอลล์จะยิ่งทำให้เลือดไหลเวียนเร็ว เลือดจะออกมากขึ้นด้วยซ้ำ และไม่เป็นผลดีกับแผลเลย
- ควรพกน้ำไปดื่มด้วยเพื่อป้องกันการขาดน้ำระหว่างสัก
- พกลูกอมหรืออมยิ้มไปอมเล่นระหว่างสักก็ดี น้ำตาลจะช่วยคลายเครียดหรือลดอาการมึนๆได้
- ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบพูดกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ก็พกเพลงไปฟังตอนสักได้ ช่างที่มืออาชีพพอจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องชวนคุณคุยเพื่อคลายเครียด
- ถ้าจะพาเพื่อนไปเป็นกำลังใจ พาไปแค่คนเดียวก็พอ และอย่าเลือกคนที่เอะอะมะเทิ่งมากนัก มันจะทำให้ช่างเสียสมาธิ
- แล้วก็ไม่ต้องพาเด็กเล็กไปด้วยละ เด็กบางคนอาจจะซนหนึ่ง สองเด็กอ่อนก็ภูมิคุ้มกันยังไม่ดีพอ ร้านสักเป็นสถานที่ที่มีเลือดมีหนองอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีการรักษาความสะอาดดีแค่ไหนก็ตามก็ยังเสี่ยงเกินไปสำหรับเด็กอ่อน สรุปไม่ควรพาไป
- ตอนที่ช่างติด stencil เพื่อลอกลายสักให้ ถ้าได้ตำแหน่งที่ยังไม่ตรงใจ สามารถบอกให้แก้ได้ จะกี่รอบก็ได้ เอาให้ถูกใจที่สุด ช่างจะไม่หาว่าจู้จี้เกินไป เพราะช่างก็ต้องอยากให้งานออกมาเป็นที่พอใจแก่ลูกค้าที่สุดเหมือนกัน
- ถ้าสภาพคล่องไม่แย่นักก็ควรทิปช่างสัก 10% ด้วยนะ
credit:ขอบคุณที่มาจาก http://m.pantip.com/topic/34908018
credit: men.mthai.com
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : เรียนรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการสัก สักอะไร สักที่ไหน สักอย่างไร
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น