ปิดเมนู
หน้าแรก

เคล็ดกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ถูกต้อง สัมฤทธิ์ผลได้ดั่งใจ

เปิดอ่าน 294 views

เคล็ดกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ถูกต้อง สัมฤทธิ์ผลได้ดั่งใจ

การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างถูกต้อง และขอพึ่งบุญท่านดลบันดาลให้สัมฤทธิ์ผลได้ดังใจปรารถนา การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บรรลุผลนั้น เกือบทุกท่านที่กราบไหว้ มักจะบนบานหรือพยายามติดสินบนแทนที่จะไปขอพร ขอบุญบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ท่านช่วยเหลือซึ่งเรื่องนี้ต้องเข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้องแล้วท่านจะได้พรจากท่าน ได้บุญมาเพิ่มเพื่อให้ท่าน ได้มีบุญมากพอที่จะผ่านวันเวลาและเรื่องที่ร้ายๆ ในชีวิตไปได้

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านเป็นใคร ทำหน้าที่อะไร และท่านช่วยอะไรเราได้บ้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านเป็นดวงจิตวิญาณชั้นสูง ซึ่งในอดีตท่านเป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนกับพวกเราทั้งหลาย แต่ท่านได้สร้างสะบุญบารมีมามากมาย เมื่อท่านตายไปแล้ว ท่านจึงไปเกิดใหม่ในชั้นของพรหม ในชั้นของเทวดาในระดับต่างๆ กัน แต่ทุกท่านมีอิทธิฤทธิ์มีอำนาจเหนือมนุษย์หลายเท่าจนประมาณค่าไม่ได้

โดยทั่วไปแล้วหลายท่านที่อยู่ในชั้นสูงนั้น ท่านกำลังบำเพ็ญเพียรกำลังก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้น หรือให้เป็นไปตามจิตอธิษฐานของท่านในการปรารถนาในระดับต่างๆ เช่น ปรารถนาเป็นพุทธเจ้าองค์ใหม่ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาไปสู่พระนิพพาน เป็นต้น ท่านเหล่านี้จึงไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงที่จะมายุ่งกับกิจของมนุษย์ เพราะท่านกำลังปฏิบัติธรรมมุ่งไปในเส้นทางของท่านอยู่ และขอให้ทราบไว้ว่า ท่านนั้นอยู่ห่างไกลมนุษย์มากบนวิมานของท่าน ไม่มีทางมาเข้าใกล้มนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นตัวเหม็น

เพราะเป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์ กินสัตว์ทุกประเภท เสพกามและทำความชั่วนานัปการและไม่มีการอวตาร ไม่มีการมาสิงร่างของคนเป็นอันขาด ถ้าท่านต้องเวลากลับมาเกิด เพื่อสร้างบุญบารมีท่านจะมาทั้งดวงจิต ไม่มีการแยกดวงจิตดังที่พวกร่างทรงทั้งหลายชอบแอบอ้าง แต่อย่างไรก็ตามยังมีเทวดาที่อยู่ในชั้นที่มีบุญบารมีน้อยกว่า ที่แม้จะกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ แต่ก็ยังมีกิเลสอยู่บ้าง และในบางองค์นั้นก็ยังมีภาระหน้าที่คุ้มครองพระพุทธศาสนา คุ้มครองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปที่สำคัญของแผ่นดิน คุ้มครองนรกและสวรรค์และดูแลทุกข์สุขของมนุษย์ ทั้งเพื่อผดุงในความดีงามให้อยู่บนโลก และหลายท่านยังมีห่วงบางอย่างตามแรงจิตอธิษฐานของท่าน

ดวงจิตวิญญาณชั้นสูงทั้ง 2 ประเภทนี้ ที่เหมือนกันก็คือ ท่านมักนิยมมาร่วมโมทนาบุญเมื่อเมื่อมนุษย์นั้นทำความดี สร้างบุญกุศลต่างๆ และเชื้อเชิญท่าน ที่ท่านมาร่วมนั้นเพราะท่านอยู่ในฐานะที่รับบุญกุศลได้แตกต่างจากพวกชั้นต่ำหรือพวกเปรต พวกสัมภเวสี ดวงจิตวิญญาณเร่ร่อน ที่มีเพียงบางจำพวกเท่านั้นที่มารับบุญกุศลที่มนุษย์นั้นอุทิศส่งไปให้ได้ ท่านเหล่านี้ บอกแล้วเป็นผู้มีบุญมาก เราจึงต้องขอบุญท่านให้เป็น คงปฏิเสธไม่ได้ว่า สิ่งที่ท่านขอ เป็นความต้องการที่เกิดจากความอยากในด้านต่างๆ ที่ท่านพึงปรารถนาให้ได้สิ่งนั้นมา ซึ่งขอกล่าวตรงๆ เลยว่า หากท่านเป็นคนชั่วช้า กระทำกรรมเลวๆ ไว้ต่างๆ มากมาย

พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของท่านเหล่านั้น คงไม่สามารถดลบันดาลให้ท่านพบเจอสิ่งที่ดีงามได้ ท่านคงต้องรับกรรมที่ท่านได้กระทำมาแล้ว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านกราบไหว้บูชานั้น ล้วนแต่ดลบันดาลให้ทุกท่านประกอบคุณงามความดีทั้งนั้น การไหว้นั้นต้องเป็นการกราบไหว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การที่เรารู้จักนอบน้อมเคารพบูชา ทำให้เราเป็นผู้ที่รักบูชาท่านที่ควรบูชา และไม่ประมาทระวังรักษาตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งแรกที่ได้ก็คือ การมีสติ มีการระลึกได้ถึงคุณงามความดีและบุญกุศลของตนเองและผู้อื่น ผู้ที่ระลึกได้ถึงการกระทำของตนตลอดเวลา ย่อมเป็นผู้ที่มีความทรงจำเป็นเลิศ

นอกจากนั้น ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถในการพินิจพิเคราะห์เรื่องต่างๆ เป็นผู้ไม่เสียเปรียบ เป็นผู้รู้ซึ้งถึงความเป็นไปของโลก เป็นผู้พร้อมที่จะชนะอุปสรรค และพบกับความสุขสงบดังใจปรารถนาหลังจากฝ่าพ้นอุปสรรคนั้นแล้ว วิธีขอพรจากพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับในทางพลังของสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่สถิตกับองค์พระพุทธรูป เจดีย์องค์พระสถูป หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ก็ตาม จะเริ่มจากจากจิตบริสุทธิ์ของผู้สร้าง หรือคนสร้างเป็นสำคัญ ถ้าผู้สร้างเป็นระดับพรหม เทพ เทวดา ก็จะมีพลังมากเพราะท่านเป็นผู้มีบุญมากกว่ามนุษย์

เรียกว่ายิ่งผู้สร้างนั้นมีบุญมากเท่าใด พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะยิ่งมากตามไปด้วย เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยสงฆ์ก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย ถ้าเป็นผู้มีบุญก็จะยิ่งมากกว่าคนธรรมดา พลังที่เพิ่มในส่วนที่สอง เพิ่มขึ้นด้วยจิตบริสุทธิ์ ด้วยบุญบารมีและการไหว้สักการะของคนที่มากราบไหว้ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์มารวมกันเป็นจำนวนมาก และปวงพรหมเทพเทวา ท่านลงมาร่วมอนุโมทนาในบุญนั้น และที่สำคัญท่านจะช่วยปกปักรักษาองค์พระพุทธรูป หรือสถานที่ที่บรรจุบุญบารมีนั้นไว้ตามอายุขัยของพรหมเทพเหล่านั้น

พระพุทธรูปนั้น ถ้าไม่มีการสักการบูชา ก็เป็นเพียงก้อนหิน ก้อนเหล็กธรรมดาเท่านั้น เจดีย์ถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ก็เป็นเพียงก้อนอิฐที่ก่อขึ้นมาเท่านั้นเช่นกัน พลังที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่สาม มาจากมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีจารึกไว้ในแต่ละสถานที่ เพราะทุกอักษรนั้นมีพลังอำนาจบุญบารมีบรรจุอยู่ ทุกบทสวดนั้นเป็นสิ่งที่ดี สวดแล้วดี สวดแล้วเป็นมงคล ส่วนเรื่องการบนบานที่คนทั่วไปเมื่อไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นการขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย เมื่อสำเร็จแล้วมีการให้สิ่งตอบแทน ถือว่าติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เรื่องนี้ไม่แนะนำให้ทำ แต่แนะนำให้ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่สำคัญเมื่ออธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ตรงกับที่อธิษฐานไว้เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่อธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลแล้วไม่ การตั้งจิตอธิษฐานนั้น เหมือนการล็อคเป้าหมายที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากมี ซึ่งเป็นผลและยังไม่เกิด ไม่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่พูดถึงปาฏิหาริย์ของการอธิษฐาน เกือบทุกศาสนานั้นมีบันทึกถึงเรื่องนี้มากมาย สิ่งที่ทำให้เกิดนั้น คือ เหตุ ที่มาจากการทำกรรมดีสม่ำเสมอ มากพอ นานพอจนบุญนั้นเต็ม เมื่อถึงเวลาส่งผลนั้นจะทำให้คนผู้นั้นได้รับในสิ่งที่ตนเองปรารถนา

ขอให้เข้าใจก่อนว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ท่านจะช่วยอวยพร ให้พรแก่ผู้ทำกรรมดีเท่านั้น ช่วยดลใจให้ทำกรรมดี เพื่อให้ผลนั้นออกมาเร็วตามที่ใจปรารถนา ไม่ได้สั่งให้กรรมดีนั้นออกผลเร็ว เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอำนาจพอที่จะไปสั่งกรรมได้เพราะกรรมบางกรรมต้องเป็นไปตามเวลา ตามหน้าที่ ตามลำดับ เหมือนกับเราปลูกต้นมะม่วงด้วยเมล็ดพันธุ์ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 4- 5 ปีถึงจะได้กินผลมะม่วงที่แสนหวาน ไม่ใช่ปลูกเพียงวันสองวันแล้วมะม่วงมันจะออกลูก
สิ่งที่สั่งและควบคุมกรรมไว้ก็คือ กฎแห่งกรรม ที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ ทำได้ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว และทั้งกรรมดีและไม่ดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างประกอบกันทั้งวัตถุที่เกิดกรรม ประโยคหรือความพยายามและเจตนา

คนที่มีฐานะดี ร่ำรวย ทำอะไรก็สำเร็จทุกประการนั้น เป็นเพราะกรรมดีนั้นส่งผล มีกำลังมากกว่ากรรมไม่ดี เริ่มตั้งแต่กรรมแต่งให้เกิด กรรมสนับสนุนหรืออีกหลายกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่คนที่ยากจนทำอะไรไม่สำเร็จทำอะไรก็ติดขัด เป็นเพราะผลแห่งกรรมไม่ดีนั้นส่งผลมากกว่ากรรมดีที่เคยทำ และไม่ยอมสร้างกรรมดีในชาตินี้มาช่วย ต่อให้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศไทย ทั่วโลกก็จะไม่เกิดผลอะไรเลย กรรมดีนั้นจะสร้างบุญบารมีให้ติดตัวไปในทุกชาติ ด้วยการทาน ศีล เจริญภาวนา ที่รวมกันเป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ การไปไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เราไปไหว้บูชาพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

สำหรับเครื่องเซ่นไหว้นั้นที่หอบหิ้วกันไปไหว้เพื่อหวังจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นพอใจ ในความเป็นจริงแล้วไม่มีประโยชน์อะไรกับท่านเหล่านั้น พระพุทธรูป เป็นรูปสมมติที่สร้างขึ้นแทนองค์พระพุทธเจ้า เราเอาข้าว เอาผลไม้ หมูเห็ดเป็ดไก่ไปถวายแล้วรูปสมมติ แล้วพระพุทธรูปที่เป็นปูนเป็นหินนั้น ท่านฉันข้าวได้หรือไม่ ท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนขอให้เชื่อโดยมีเหตุผลรองรับให้เชื่อ โดยใช้ปัญญาพิจารณา อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมาก ด้วยการลือสืบ ๆ กันมา ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ฯลฯ

มีครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้เสมอว่า ไม่จำเป็นต้องถวายข้าวเครื่องเซ่นไหว้พระพุทธรูป แต่ควรบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วย อามิสบูชา (ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ) และจะเป็นการบูชาที่ดีที่สุด ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยการปฏิบัติตัวให้ดีให้ถูกธรรมทางกาย วาจาและใจ หมั่นให้ทาน ถือศีล ภาวนารวมทั้งการทำความดีต่างๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับพรหม เทพ เทวดาทั้งหลายบางพวกนั้น รวมถึงบริวารทั้งหลาย อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ตามความเหมาะสม และยิ่งได้ไหว้สักการะท่านเสร็จแล้ว นำไปแจกเป็นทานก็จะยิ่งได้บุญ ในเรื่องนี้ก็ขอให้ใช้สติในการพิจารณา

Sanook Horoscope

สนับสนุนเนื้อหา

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : เคล็ดกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ถูกต้อง สัมฤทธิ์ผลได้ดั่งใจ