Car Wallpaper การเคลือบแก้ว ดี ไหม
ปัจจุบัน “การเคลือบแก้ว” เริ่มจะกลายเป็นเรื่องยอดฮิตของคนที่รักรถ แถมในเวลานี้จำนวนผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทยกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก จึงทำให้การเคลือบแก้วที่ได้รับการบอกต่อกันมาปากต่อปากว่าเป็นการเคลือบทีดีกว่าการเคลือบสีปกติ กลับได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่จริง ๆ แล้ว การเคลือบแก้วนั้นดีกว่าการเคลือบปกติมากมายขนาดไหน และเจ้าของรถยนต์ทุกคนจำเป็นที่จะต้องเคลือบแก้วหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบ
การเคลือบแก้วแท้จริงแล้วคล้ายกับการเคลือบสีปกติทั่ว ๆ ไปที่จะต้องใช้น้ำยาในการเคลือบ แต่พอถูกเรียกกันว่า “Glass Coating” จึงถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการนำเอาแก้วมาเคลือบ แท้จริงแล้วก็มีส่วนถูกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะน้ำยาเคลือบแก้วนั้นจะมีส่วนผสมของซิลิก้าซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกระจกหรือแก้ว เพื่อทำให้การปกป้องสีรถยนต์นั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนกรรมวิธีขึ้นตอนในการเคลือบแก้วนั้น จะมีการเตรียมพื้นผิวที่ยุ่งยากและซับซ้อนกว่าพอสมควรเช่นเดียวกัน
ในด้านประสิทธิภาพหลังจากการเคลือบแก้วนั้น เนื่องจากชั้นเคลือบแก้วจะมีไฟฟ้าสถิตอยู่น้อยกว่าปกติ จึงช่วยลดโอกาสในการเกาะของฝุ่นและหยดน้ำให้น้อยลง จึงทำให้สะดวกในการทำความสะอาด และลดระยะเวลาในการทำความสะอาดรถยนต์ให้สั้นลงกว่าปกติ นอกจากนี้อายุการปกป้องสีรถยนต์ยังมีมากกว่าการเคลือบปกติ 5 – 10 เท่า แน่นอนว่าย่อมจะตามมาด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วด้วย ข้อแนะนำสำหรับท่านที่สนใจในการเคลือบแก้วก็คือ ควรพิจารณางบประมาณและสถานะทางการเงินของท่านเป็นเกณฑ์ เพราะการเคลือบแก้วนั้นดีกว่าการเคลือบแบบปกติแน่นอน แต่ไม่ได้จำเป็นหรือให้การปกป้องสีรถยนต์ที่มากกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญมากนัก หากใครงบน้อยการเคลือบสีธรรมดาบ่อย ๆ ก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการดูแลรักษาสีรถยนต์
การเคลือบสีรถยนต์ สำหรับคนรักรถแล้ว ดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมที่ต้องจริงจังกันหน่อย เพราะว่าภาพลักษณ์ภายนอกของรถยนต์ก็เหมือนเป็นตัวบ่งชี้ลักษณะนิสัยของเจ้าของรถได้ ว่าเป็นคนที่เอาใจใส่กับสิ่งต่างๆ มากน้อยแค่ไหน และคนที่รักในการเคลือบสีรถทั้งหลาย วันนี้ยังมีทางเลือกใหม่ที่ในการดูแลพื้นผิวให้แจ่มแจ๋วกว่าเดิม นั่นก็คือ “Glass Coating” ครับ
ก่อนอื่นมาแนะนำกันก่อนนะครับ สำหรับบางคนที่เห็นแล้วอาจจะสงกระสัยว่ามันคือการเคลือบอะไรกันแน่ บอกไว้ก่อนนะครับว่าGlass Coating หรือ การเคลือบแก้ว (เคลือบฟิล์มแก้ว) นี้ไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้รถนั้นมีความเงางามขึ้นแต่อย่างใด เพราะการเคลือบชนิดนี้เป็นเหมือนการเคลือบทับเพื่อปกป้องชั้นสีบนสุดอย่าง Clear Coat เสียมากกว่า โดยใช้น้ำยาที่ทำมาจาก Silicon (Si)ที่มีลักษณะเป็นของเหลวซึ่งสามารถนำไปพ่นหรือเคลือบทับได้ และหลังจากแห้งดีแล้วน้ำยาจะจับตัวแข็งมีลักษณะคล้ายกับชั้นฟิล์มที่มีขนาด 5-10 ไมครอนและมีความหนาแน่นราว 0.08 g/cc ซึ่งจะมีความโปร่งแสงโปร่งใสเฉกเช่นเนื้อแก้ว ซึ่งเป็นที่มาของ Glass Coating ยังไงละครับ
เนื่องจากการที่เราจะเคลือบประเภทนี้เป็นการเคลือบทับชั้นเคลียโค้ท นั่นก็แปลว่าถ้าหากอยากให้รถมีความเงางามอย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัว Clear Coat ของรถแต่ละคันที่จะมาทำนั้นก็ต้องมีความสะอาดเสียก่อน พูดอีกอย่างก็คือรถที่มีความสมบูรณ์ของพื้นผิวนั้นเมื่อทำการเคลือบแก้วแล้ว ก็จะส่งผลให้รถมีความเงางามกว่ารถที่มีพื้นผิวขุ่นหมอง, เป็นรอยขีดข่วนไม่ ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นั่นเองครับ
อีกจุดเด่นก็คือการป้องกันจากการกัดกร่อนที่เกิดจากคราบฝุ่น ความชื้น หรือคราบที่เกิดจากปฏิกิริยา Oxidation และมีความยืดหยุ่นต่อการปกป้องชั้นพื้นผิวรถยนต์ในทุกสภาพอากาศไม่ว่าจะร้อน จัด เย็นจัด หรือฝนกรด เพราะชั้นฟิล์มชนิดนี้จะปกป้องพื้นผิวรถยนต์ที่ระดับความแข็งที่ 7-9H (เกือบเท่ากระจกเลยทีเดียว) ซึ่งถือว่ามีความแข็งแรงมากทีเดียว สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการนอกจากความเงางามแล้ว เมื่อน้ำฝนสัมผัสกับพื้นผิวแล้วจะจับตัวกันเป็นเม็ดๆและลื่นไหลจากพื้น ผิวอย่างง่ายดาย ส่งผลให้การเช็ดทำความสะอาดนั้นง่ายและมีประสิทธิภาพกว่าก่อนการเคลือบมาก
โดยการเคลือบสีรถยนต์นี้แบ่งเป็น 2 เกรด คือแบบมาตรฐานที่ทำแล้วอยู่ได้นานเป็นปีๆซึ่งราคาก็ตกอยู่ราว 20,000 ไปจนถึง 50,000 บาท ซึ่งการเคลือบในเกรดพรีเมียมราคาร่วมครึ่งแสนแบบนี้เป็นที่นิยมในหมู่รถหรู ส่วนเกรดล่างนั้นย่อมมีราคาที่ต่ำกว่ามาก อยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งคุณภาพก็จะได้ตามราคานะครับ และที่สำคัญหากจะไปเคลือบนั้นต้องเลือกร้านดีๆมีชื่อเสียงและได้มาตรฐานเสีย หน่อย เพราะสำหรับคนที่หลงใหลในความเงางามของรถแล้ว การเคลือบแก้วก็เหมือนเปรียบเหมือนเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งนั่นเองครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก e-toyotaclub.net
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ทำเคลือบแก้วดีไหม?
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น