ปิดเมนู
หน้าแรก

ปวดท้องด้านขวาล่าง อาจเป็น “ไส้ติ่งอักเสบ”

เปิดอ่าน 182 views

ปวดท้องด้านขวาล่าง อาจเป็น “ไส้ติ่งอักเสบ”

GED Good Life

สนับสนุนเนื้อหา

โอย โอย… ปวดท้องน้อยข้างขวาจัง พอไปพบหมอ หมอวินิจฉัยว่าเป็น ไส้ติ่งอักเสบ ถ้าไม่ผ่าตัดอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลย! เจ้าโรคนี้มันน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือคะ? อย่าเพิ่งกังวลไป วันนี้ GedGoodLife มีคำตอบมาให้แล้ว

มาทำความรู้จักกับ “ไส้ติ่ง” กันก่อน

ไส้ติ่ง (Appendix) มีลักษณะเป็นท่อตันบาง ๆ มีความยาวเฉลี่ย 11 ซม.ที่แยกมาจากบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น โดยตำแหน่งจะอยู่บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่าง

ในอดีตไส้ติ่งเคยถูกมองข้ามว่าเป็นอวัยวะที่ไร้ประโยชน์ในร่างกาย แต่ในปี 2007 ศูนย์วิจัยจากมหาวิทยาลัยDuke (Duke University Medical Center) ได้ค้นพบว่า ไส้ติ่งทำหน้าที่เหมือนบ้านอันอบอุ่น และปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรานั่นเอง จุลินทรีย์ที่ว่านี้ช่วยในระบบการย่อยอาหาร นอกจากนี้ไส้ติ่งยังทำหน้าที่กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้กลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย


ไส้ติ่งอักเสบ คืออะไร?

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบบ่อย และทำให้มีการผ่าตัดช่องท้องฉุกเฉินมากที่สุด เกิดขึ้นได้กับทุกวัย ทั้งเพศชาย และเพศหญิง โดยจะพบมากในช่วงอายุ 12 – 60 ปี และถ้ารักษาไม่ทันท่วงที สามารถเสียชีวิตได้เลยทีเดียว!


สาเหตุของการเกิดไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งจะอักเสบ ก็ต่อเมื่อมีภาวะอุดตัน โดยมักจะอุดตันจาก

  • เกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง เช่น มีอุจจาระ หรือกากอาหารตกลงไปในไส้ติ่ง ทำให้เกิดอาการอักเสบ โดยภาวะอุดตัน ทำให้แบคทีเรียเพิ่มขึ้นเมื่อมีการอักเสบ ผลที่ตามมาคือ การเน่าและการแตกทะลุของไส้ติ่งนั่นเอง
  • การอุดตันอาจเกิดขึ้นได้จากพยาธิลำไส้ เช่น พยาธิเข็มหมุด พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด เป็นต้น ใครทื่ชอบกินของดิบ ๆ ไม่สะอาด ไม่ปรุงสุก ต้องระวังให้ดี


อาการปวดท้องจาก ไส้ติ่งอักเสบ

คนไข้มักจะเข้ามาพบแพทย์ด้วยอาการปวด จุกๆ แน่นๆ รอบๆ สะดือ มวนท้องไปทั่ว อาการปวดอาจจะคล้ายกับลำไส้อักเสบทั่วไป แต่ผ่านไปสักพักจะเริ่มปวดท้องที่ด้านขวาล่าง โดยอาการปวดแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ

ปวดท้องระยะแรก – มีอาการปวดทั่วๆ ทั้งหน้าท้อง บริเวณรอบสะดือ และจะค่อย ๆ มากขึ้น ถึงแม้จะทานยาแก้ปวดก็ทุเลาเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ปวดท้องระยะที่สอง – ประมาณ 2 ชั่วโมง จนถึง 24 ชั่วโมงต่อมา จะปวดท้องบริเวณด้านขวาตอนล่าง ลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา การเคลื่อนไหวร่างกายจะทำให้ปวดมากขึ้น และถ้ากดท้องจะพบว่ากดเจ็บบริเวณท้องน้อยด้านขวา โดยเฉพาะตรงจุดตำแหน่งไส้ติ่ง

  • อาการร่วมเมื่อไส้ติ่งอักเสบระยะที่สอง คือ คลื่นไส้อาเจียนภายหลังจากปวดท้อง ปากแห้ง คอแห้ง มีไข้ต่ำ แต่ถ้ามีไข้สูง ปวดท้องน้อยทั้งซ้ายและขวา หรือปวดทั่วท้องมักจะเป็นเพราะ ไส้ติ่งได้แตกแล้ว


วิธีการตรวจดูอาการไส้ติ่งอักเสบอย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง

  • ให้ผู้ป่วยนอนหงายแล้วใช้นิ้วมือกดลงลึกๆ เบาๆ หรือใช้กำปั้นทุบเบาๆ ตรงบริเวณไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา) ถ้าพบว่ามีอาการเจ็บปวดตรงบริเวณนั้นมาก ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ

  • บางรายอาการปวดเจ็บท้องอาจอยู่นอกตำแหน่งท้องน้อยข้างขวา (เนื่องจากไส้ติ่งอยู่ในตำแหน่งที่ผิดไปจากปกติ) หรือบางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับท้องผูกหรือท้องเสียก็ได้
  • ถ้ารู้สึกปวดท้องอยากถ่ายบ่อยๆ แต่ถ่ายไม่ออก อย่านึกว่าเป็นอาการท้องผูกธรรมดา และห้ามทำการสวนอุจจาระหรือกินยาถ่าย หรือยาระบาย เพราะอาจจะทำให้ไส้ติ่งแตกได้
  • ในระยะแรกผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดใต้ลิ้นปี่หรือรอบๆ สะดือคล้ายอาการของโรคกระเพาะ จึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้ากินยาแก้โรคกระเพาะแล้วอาการยังไม่ทุเลา กลับมีอาการปวดรุนแรงขึ้น หรือย้ายมาปวดตรงท้องน้อยข้างขวาก็ควรนึกถึงไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการปวดท้องน้อยต่อเนื่องกันนานเกิน 6 ชั่วโมง
  • อาการปวดท้องน้อยข้างขวา นอกจากไส้ติ่งอักเสบแล้ว ยังอาจเกิดได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น นิ่วในท่อไต ปวดประจำเดือน ปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไป


อันตรายจากไส้ติ่งแตก

  • อาจเกิดการติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้อง ซึ่งสามารถลุกลามจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ทำให้เสียเวลารักษานาน ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง


การรักษา ไส้ติ่งอักเสบ

  • ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ เพื่อวินิจฉัยโรคให้แน่นอน
  • การรักษาไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น โดยการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นวิธีการมาตรฐานในการรักษา เนื่องจากมีข้อดีหลายข้อ เช่น เห็นไส้ติ่งได้ชัดเจน เจ็บแผลน้อยกว่า ฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้
  • ปัจจุบันเมื่อเราผ่าตัดภายในช่องท้อง เช่น ผ่าตัดคลอดบุตร ผ่าตัดมดลูก หรือปีกมดลูก แพทย์อาจจะทำการผ่าตัดไส้ติ่งออกให้เลย เพราะจะได้ไม่เกิดการอักเสบขึ้นภายหลัง
  • สำหรับสุภาพสตรี อาการของไส้ติ่งอาจคล้ายกับอาการปีกมดลูกอักเสบ ซึ่งสูติ-นรีแพทย์ จะเป็นผู้ให้การรักษาโดยการให้ยาปฏิชีวินะ แต่ต้องให้การวิเคราะห์โรคให้ได้ก่อนรักษา


การดูแลตนเองหลังการผ่าตัด

  1. นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 3 วัน
  2. หลังจากพักฟื้นที่โรงพยาบาล ควรพักผ่อนต่อที่บ้านอีก 7 วัน
  3. ห้ามยกของหนัก ประมาณ 2 เดือน
  4. งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์


GedgoodLife สรุปให้

  1. ไส้ติ่ง (appendix) มีลักษณะเป็นท่อตันบาง ๆ มีความยาวเฉลี่ย 11 ซม.ที่แยกมาจากบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น โดยตำแหน่งจะอยู่บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่าง
  2. ไส้ติ่งทำหน้าที่เหมือนบ้านอันอบอุ่น และปกป้องเชื้อจุลินทรีย์ในช่องท้องของคนเรานั่นเอง
  3. ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) เกิดจากภาวะอุดตันจากอุจจาระ กากอาหารตกลงไปในไส้ติ่ง หรือจากพยาธิลำไส้ ทำให้เกิดอาการอักเสบ เน่า และแตกทะลุของไส้ติ่งได้
  4. อาการของไส้ติ่งอักเสบ มักมีอาการปวดที่ด้านขวาล่างของช่องท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง คอแห้ง
  5. การรักษาไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น โดยการผ่าตัดผ่านกล้องเป็นวิธีการมาตรฐานในการรักษา

ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน ยากที่จะป้องกัน การรู้เท่าทัน และรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ จะช่วยให้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง และทันท่วงที ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามาทานเองโดยเด็ดขาด เพราะ โรคนี้จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ปวดท้องด้านขวาล่าง อาจเป็น “ไส้ติ่งอักเสบ”