สารพัน 5 เทคโนโลยียกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าที่เคยตึงจะค่อย ๆ เริ่มตก สามารถสังเกตได้จากการเริ่มมีร่องแก้ม ร่องมุมปาก ถุงใต้ตา หนังตาตก เหนียงใต้คาง บริเวณกรอบหน้าจากเดิมเห็นแนวกรามชัดเจนจะค่อย ๆ กลายเป็นเนื้อนิ่ม ๆ ย้อยลงมา ทำให้เห็นขอบกรามไม่ชัด ปัญหาเหล่านี้แม้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียทางสุขภาพร่างกาย แต่อาจทำให้เกิดความกังวลได้ไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชายก็ตาม โดยเฉพาะหากคนรอบข้างที่อายุเท่าเราแต่ใบหน้าดูเด็กกว่า ดังนั้นจึงทำให้ต้องมองหาการรักษา เพื่อให้ผิวยกกระชับกลับมาดังเดิม

เมื่อกล่าวถึงการรักษาใบหน้าหย่อนคล้อย หลายคนอาจนึกถึงการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดี แต่ต้องพักฟื้นหลังการผ่าตัด รวมไปถึงมีแผลหลังการผ่าตัดด้วย จึงมีเทคโนโลยีในปัจจุบันสำหรับยกใบหน้าที่หย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ได้ผลใกล้เคียงและแลดูเป็นธรรมชาติ เทคโนโลยีในกลุ่มที่ “ไม่ต้อง” ผ่าตัด ได้แก่

1. เทคโนโลยีคลื่นอาร์เอฟหรือคลื่นวิทยุ

คลื่นกลุ่มนี้จะสามารถลงไปในผิวหนังชั้นหนังแท้ตอนบน หนังแท้ตอนล่าง รวมไปถึงชั้นไขมัน โดยชั้นผิวหนังบริเวณหนังแท้เป็นชั้นที่มีเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเปรียบเสมือนโครงของผิวหนัง เมื่อเส้นใยดังกล่าวได้รับพลังงานความร้อน จะเกิดการตึงตัวและการสร้างตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังตึงขึ้น ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ให้พลังงานกลุ่มคลื่นอาร์เอฟได้หลายชนิด แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันในชนิดของการส่งผ่านคลื่น รวมทั้งการเหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนใต้ผิว จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีกลุ่มนี้ จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป บางชนิดทำแล้วได้ผลนานเป็นปีภายหลังการทำเพียงครั้งเดียว เนื่องจากสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดความร้อนที่มากพอที่จะกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน แต่มีข้อเสียคือราคาสูง เครื่องบางชนิดอาจต้องทำหลายครั้งและได้ผลไม่เท่ากับเครื่องที่ให้พลังงานสูง แต่มีราคาย่อมเยากว่า การใช้เทคโนโลยีคลื่นอาร์เอฟหรือคลื่นวิทยุเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ผิวหนังทั่วโลกแล้วว่าได้ผลในการยกกระชับและมีความปลอดภัย

2. เทคโนโลยีคลื่นโฟกัสอัลตราซาวด์

คลื่นกลุ่มนี้คือการเปลี่ยนพลังงานเสียงเป็นพลังงานความร้อนใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้ผิวหนังตึงตัวขึ้น คลื่นอัลตราซาวด์ชนิดที่ใช้สำหรับยกกระชับใบหน้าจะให้พลังงานที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัลตราซาวด์ที่ใช้ส่องช่องท้อง คลื่นอัลตราซาวด์สำหรับยกกระชับผิวหน้าจะถูกออกแบบให้พลังงานลงไปที่ผิวหนังระดับชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เมื่อผิวหนังชั้นนี้ตึงตัวขึ้น ใบหน้าจึงดูกระชับและยกตัวขึ้น ข้อดีของคลื่นกลุ่มอัลตราซาวน์คือได้ความร้อนในผิวหนังชั้นลึกถึงชั้นเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ แต่ข้อเสียคือ ผิวหนังชั้นหนังแท้และชั้นไขมันอาจไม่ได้รับความร้อนมากนัก เนื่องจากพลังงานจะไปโฟกัสเฉพาะผิวส่วนลึกมากเท่านั้น ดังนั้นเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้อาจไม่ได้รับการกระตุ้นเท่าที่ควร โดยรวมจะเรียกกลุ่มนี้ว่า โฟกัสอัลตราซาวด์หรือไฮฟู (HIFU) เครื่องมือกลุ่มนี้มีหลายยี่ห้อในท้องตลาดไม่ว่าจะเป็นเครื่องจากสหรัฐอเมริกาหรือเครื่องจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ละเครื่องจะมีการให้ความร้อนใต้ผิวหนังแตกต่างกันรวมทั้งข้อมูลด้านความปลอดภัยก็ต่างกัน ดังนั้นผลการรักษาและราคาจึงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและแหล่งที่มาของเครื่อง

3. เทคโนโลยีเลเซอร์กลุ่มคลื่นอินฟราเรด

พลังงานความร้อนที่ได้จากเลเซอร์จะอยู่ในระดับหนังแท้ ข้อเสียของกลุ่มนี้คือ ความร้อนที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังอาจไม่สูงนัก จึงต้องทำหลายครั้ง ผลการรักษาอาจได้ในระดับปานกลาง แต่ก็มีข้อดีคือไม่เจ็บและราคาไม่สูงมาก นอกจากนี้ผู้ที่มีฝ้าอยู่แล้วอาจทำให้ฝ้าคล้ำขึ้นได้

4. การฉีดยากลุ่มโบทูลินุมทอกซินและการใช้สารกลุ่มฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิคแอซิด

เหมาะกับผู้ที่มีสภาพปัญหาไม่มาก สารกลุ่มโบทูลินุมทอกซินมีฤทธิ์ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ดังนั้น หากใช้ฉีดบริเวณกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ดึงใบหน้าลง ก็จะทำให้กล้ามเนื้อมัดนั้นคลายตัวออก ไม่สามารถมีแรงดึงหน้าลงได้ ผลลัพธ์ที่ได้คือกล้ามเนื้อกลุ่มที่ดึงใบหน้าขึ้นก็จะทำงานเด่นขึ้นมาแทน ดังนั้น ใบหน้าจึงยกขึ้น การใช้สารกลุ่มฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มจะมีฤทธิ์ทำให้ผิวหนังบริเวณที่มีเนื้อน้อยได้รับการเติมเต็มขึ้นมา ผิวหนังก็จะดูยกตัวขึ้น ข้อเสียของการใช้เทคโนโลยีกลุ่มนี้ ได้แก่ การสลายตัวของยาที่ฉีด กล่าวคือ สารโบทูลินุมทอกซินสามารถออกฤทธิ์ได้ประมาณ 4 เดือน หรือการใช้สารฟิลเลอร์หรือสารเติมเต็มชนิดไฮยาลูโรนิคแอซิดจะค่อย ๆ สลายไปใน 6-12 เดือน แล้วแต่ชนิดของสารเติมเต็ม จึงต้องมีการฉีดเป็นระยะเพื่อให้ได้ผลต่อเนื่อง ในแง่ของความปลอดภัยพบว่า หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาจะไม่เกิดปัญหาในระยะยาว และการรักษาควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

5. การร้อยไหม

พบว่าการใช้ไหมชนิดที่ออกแบบมาเพื่อยกใบหน้า สามารถทำให้ใบหน้าที่หย่อนคล้อยยกตัวขึ้นได้ โดยไหมจะทำหน้าที่เป็นตัวขึงผิวไว้ ในอดีตมีการใช้ไหมแบบไม่ละลาย แต่พบว่ามีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ปัจจุบันจึงมีการใช้ไหมชนิดละลายได้ โดยไหมชนิดละลายได้จะทำให้เกิดแกนพังผืดใต้ผิวหนัง หรือเปรียบง่าย ๆ เหมือนเป็นการเย็บแผลที่หน้าท้องแล้วมีแผลเป็นพังผืดนูนขึ้นมา แกนพังผืดที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังจะทำให้ผิวหนังดูยกตัวขึ้น เทคโนโลยีนี้เห็นผลการรักษาเร็ว แต่ผลอยู่ไม่นาน นอกจากนี้ยังอาจก่อให้เเกิดพังผืดเป็นเส้น ๆ ใต้ผิวหนังคล้ายการมีแผลผ่าตัดหน้าท้อง แม้ว่าไหมจะละลายไปแล้ว แต่พังผืดที่เกิดขึ้นใต้ผิวอาจจะไม่หายไป นอกจากนี้ ข้อมูลด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยระยะยาวมีจำกัด จึงยังไม่เป็นที่นิยมในบางประเทศ

จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัดมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนั้น หากคิดจะทำการรักษาภาวะผิวหนังหย่อนคล้อยแบบไม่ต้องผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงสภาพปัญหาของแต่ละบุคคลรวมทั้งงบประมาณ เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม.

ผศ.นพ.วาสนภ วชิรมน

แผนกผิวหนังและเลเซอร์

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

สนับสนุนโดย Daily News

туры шри ланка