ปิดเมนู
หน้าแรก

5 เทรนด์ “ลดน้ำหนัก” สุดฮิตแห่งปี 2018

เปิดอ่าน 131 views

5 เทรนด์ “ลดน้ำหนัก” สุดฮิตแห่งปี 2018

เห็นแล้วน่าปลื้มใจแทนคนไทยหลายล้านคนเลยจริงๆ เมื่อเห็นคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่าหันมาใส่ใจสุขภาพของตัวเองมากขึ้น เพราะหลายคนเริ่มรู้แล้วว่า ไม่ว่าจะถูกหวยกี่แสนกี่ล้านบาท ก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้จริงๆ นอกจากสุขภาพที่แข็งแรงไร้โรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังได้ของแถมเป็นหุ่นสดเฟิร์ม ใส่ชุดอะไรก็สวยอีกด้วย

ปีนี้เขาเล่นอะไรกันบ้าง มีอะไรที่เป็นแนวทางของเราที่น่าทำตามบ้าง มาดูกัน

 

  1. วิ่งมาราธอน

ยังคงเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกฮิตกันง่ายๆ สำหรับการวิ่ง โดยเฉพาะการวิ่งมาราธอนไต่ระยะขึ้นไปเรื่อยๆ จาก 5 กิโลเมตร กลายเป็น 40 กว่ากิโลเมตรเพื่อให้เป็นการวิ่งมาราธอน แถมหลายคนยังสรรหางานวิ่งแปลกๆ หรืองานวิ่งไกลๆ ตามต่างประเทศ เพื่อเอาชนะร่างกาย เอาชนะใจตัวเอง และได้ครอบครองเสื้อ และเหรียญรางวัลเป็นที่ระลึกกันอีกด้วย เหตุที่การวิ่งเป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลาย เพราะเป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมาก รวมถึงอุปกรณ์ก็ไม่ต้องมีเยอะ (ถ้าเอาเท่าที่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่เยอะ นอกจากคุณจะเป็นนักวิ่งสายอุปกรณ์จริงๆ) และยังช่วยให้กล้ามเนื้อร่างกาย และหัวใจแข็งแรงไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

>> ทำไมวิ่งแล้ว ไม่ผอม น้ำหนักไม่ยอมลด?

>> เคล็ดลับนักวิ่ง! เลือกรองเท้าดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

>> 10 เคล็ดลับ ฝึกร่างกายอย่างไร เมื่อไร ให้ทันวิ่งมาราธอน

>> 5 เคล็ดลับ กินอย่างไร เตรียมตัวไป “วิ่งมาราธอน”

>> อาการบาดเจ็บที่ “นักวิ่ง” หลายคนอาจต้องเจอ

 

  1. คีโตเจนิค

ใครที่ติดตามเทรนด์การลดน้ำหนักอย่างใกล้ชิดมาสักระยะจะต้องเคยได้ยินเทรนด์นี้แน่ๆ (หรืออาจกำลังกินคีโตอยู่ก็ได้) คีโตเจนิค คือการทานอาหารที่มีไขมันสูง มีโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เมื่อทานคาร์โบไฮเดรตน้อย แทนที่ร่างกายจะดึงคาร์โบไฮเดรตไปใช้เป็นพลังงานเหมือนปกติ ร่างกายจึงหันไปดึงพลังงานจากไขมันแทน การกินอาหารคีโตเจนิค จะเน้นการกินเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากนม และพืชที่มีแป้งน้อย ทั้งยังต้องงดข้าว แป้ง ธัญพืช เผือกมัน ผลไม้ และของหวานทุกชนิด แต่การกินคีโตเจนิคยังมีรายละเอียดอีกมาก ต้องเลือกอาหารให้ดี และต้องมีวินัยมากๆ ดังนั้นควรศึกษาก่อนเริ่มต้นกินอย่างจริงจัง

>> “คีโตเจนิค” กินไขมันลดอ้วน แต่กินไม่ถูกวิธีอาจยิ่งอ้วน

 

  1. HIIT

อาจจะสงสัยกันว่า HIIT คืออะไร HIIT คือการออกกำลังกายแนวคาร์ดิโอในรูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย โดยเน้นการออกกำลังกายหนักสลับเบาในช่วงระยะเวลาที่กำหนด วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไปพร้อมๆ กับการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายไปด้วย แต่หากใครลองเปิดคลิปการออกกำลังกายแบบ HIIT แล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการออกกำลังกายที่ค่อนข้างโหดอยู่พอสมควร แม้ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก และยังเหมาะกับคนที่ “อ้วนลงพุง” แต่ไม่เหมาะกับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน เพราะอาจส่งผลเสียถึงเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ปรับตัวไม่ทัน เกิดอาการบาดเจ็บ จนอาจส่งผลร้ายแรงในอนาคตได้ ดังนั้นก่อนจะลองออกกำลังกายแบบ HIIT ควรเริ่มออกกำลังกายคาร์ดิโอแบบปกติไปสักระยะก่อน เช่น วิ่ง แอโรบิค ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น

>> “ผอมแต่มีพุง” (Skinny Fat) ออกกำลังกายอย่างไรดี?

>> 10 เทคนิค “ลดพุง” ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าได้ผล

>> การออกกำลังกาย “เข้มข้นเร่งเร็ว” กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนอเมริกัน

>> รู้ไว้ก่อนสาย! เมื่อการออกกำลังกายแบบ HIIT เพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายอย่างที่คุณไม่เคยรู้

 

  1. อาหารคลีน

หากใครเพิ่งจะเริ่มต้นดูแลสุขภาพ แล้วเพิ่งจะเริ่มออกกำลังกายเบาๆ ไปไม่เท่าไร แต่อยากเห็นผลชัดขึ้น เร็วขึ้น ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการเลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นั่นก็คืออาหารคลีนนั่นเอง คำจำกัดอาหารคลีนง่ายๆ ก็คืออาหารที่เน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลา ไก่ (ไร้หนัง) ไขมันจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เน้นผักผลไม้กากใยอาหารสูง แป้ง และน้ำตาลต่ำ รวมถึงใส่เครื่องปรุงรสน้อยๆ ส่วนไขมันให้ทานไขมันจากพืช เช่น น้ำมันมะกอก และทานธัญพืชต่างๆ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย เช่น งา เม็ดบัว ลูกเดือย เมล็ดเจีย เป็นต้น ปัจจุบันมีเมนูอาหารคลีนมากมายให้เลือกสรรจนทานกันไม่หวาดไม่ไหว ใครทำอาหารไม่เป็น หรือไม่มีเวลาก็สามารถหาซื้อทานกันได้ง่ายๆ เริ่มต้นจากการทานอาหารปรุงรสน้อยลง เมื่อลิ้นคุ้นชินกับรสชาติแล้ว คุณจะไม่รู้สึกว่าอาหารจืดอีกต่อไป

>> อาหารที่กินอยู่ เป็น “อาหารคลีน” จริงหรือไม่?

>> 5 อาหารคลีนยิ่งทานเยอะยิ่งให้โทษแก่ร่างกาย

>> 4 อาหารคลีน มีประโยชน์ แต่เสี่ยงอันตราย

 

  1. ฟิตเนส กับเทรนเนอร์

วิธีสุดท้ายที่จะแนะนำกันในปีนี้ เป็นวิธีที่อาจจะต้องลงทุนสักนิด แต่เชื่อว่าได้ผลเกือบจะ 100% (ถ้าไม่ทิ้งเทรนเนอร์เสียก่อน) นั่นคือการสมัครบริการฟิตเนสพร้อมจ้างเทรนเนอร์ หรือครูฝึกส่วนตัว (ต้องจ้างเทรนเนอร์เพิ่มเท่านั้น สำหรับคนขี้เกียจ และไร้วินัยกับตัวเองสุดๆ) โดยเทรนเนอร์จะสอบถามข้อมูลของเรา และวางแผนการออกกำลังกายที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับเราโดยเฉพาะเอาไว้ให้ เราสามารถระบุได้ว่าปัญหาของเราคืออะไร อยากแก้ไขตรงจุดไหน เช่น อยากลดพุง อยากลดสะโพก ร่างกายผอมบางแล้วแต่ไม่มีกล้ามเนื้อ หรืออยากลดน้ำหนัก ลดทุกส่วนของร่างกาย เคยออกกำลังกายมาบ้าง หรือไม่เคยออกกำลังกายเลย หน้าที่ของเรามีแค่อย่างเดียว คือเอาตัวเอาไปที่ฟิตเนสให้ได้ อย่าเกเรกับเทรนเนอร์ อย่ามีข้ออ้างเยอะ เทรนเนอร์จะแนะนำเราทุกอย่าง ทั้งเรื่องการออกกำลังกายในฟิตเนส การออกกำลังกายที่บ้าน อาหารการกินที่ควร และไม่ควรทาน รวมถึงเก็บข้อมูลอย่างละเอียดเพื่อดูพัฒนาการว่าดีขึ้นหรือไม่อย่างไร ต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนเพิ่มเติม วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีเงินแต่ไม่มีเวลา และไม่มีวินัยกับตัวเอง รับรองว่าได้สุขภาพที่ดีขึ้นอย่างถูกต้องแน่นอน

 

หาวิธีดูแลสุขภาพ และลดน้ำหนักที่ตัวเองสนใจ และเหมาะสมกับตัวเอง แล้วอย่าลืมตั้งปณิทานปีใหม่เอาไว้ด้วยว่า “ปีหน้าฉันจะต้องเป็นเจ้าของร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงกว่าเดิมให้ได้” ด้วยล่ะ

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : 5 เทรนด์ “ลดน้ำหนัก” สุดฮิตแห่งปี 2018