การซื้อสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตของเหล่าอาชญากรที่นำไปซื้อสินค้าออนไลน์ก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

วันที่ 26 ต.ค. 59 ในขณะที่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก และมีผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นนั้น ก็มีรายงานว่า การโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิตของเหล่าอาชญากรที่นำไปซื้อสินค้าออนไลน์ก็มีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่พุ่งสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ล่าสุดนั้น บรรดาผู้ให้บริการบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ต้องประกาศมาตรการให้เจ้าของบัตรเครดิตให้ข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันการถูกโจรกรรมบัตรเครดิตในอนาคต

โดยตามข้อมูลของบริษัทวิจัยที่ชื่อว่า “เจฟเลน สตราเทอจี แอนด์ รีเสิร์จ” พบว่า การโจรกรรมบัตรเครดิตนั้น ได้สร้างความเสียหายให้กับรายได้ของอุตสาหกรรมธุรกิจออนไลน์คิดเป็นราว 7.5 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งสถานการณ์ปัจจุบันที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันนั้น ก็ยิ่งเป็นเรื่องยากมากขึ้นที่แต่ละบริษัทจะแยกแยะได้ว่า ธุรกรรมไหนกระทำโดยเจ้าของบัตรตัวจริง หรือธุรกรรมไหนที่ทำโดยอาชญากรที่โจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต

ทางด้านบริษัทที่ปรึกษา “ไอท์ กรุ๊ป” ประเมินว่า ในปีนี้มีการโจรกรรมบัตรเครดิตและนำไปใช้จ่ายคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทีเดียว และคาดว่า ในปี ค.ศ. 2020 นี้ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จากปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้บรรดาผู้ให้บริการบัตรเครดิตในสหรัฐฯ เริ่มที่จะคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ที่ระบุตัวตนของเจ้าของบัตร โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลที่ปรากฎบนบัตร เช่น การใช้ตัวเลขที่ระบุถึงตัวเจ้าของบัตร โดยไม่ต้องใช้ตัวเลขบนหน้าบัตรเครดิต ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้บรรดาแฮกเกอร์ทำงานได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา บรรดาผู้ให้บริการบัตรเครดิตยังเปิดให้เจ้าของบัตรเพิ่มข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติมได้ ในระหว่างที่ทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น ที่อยู่อีเมล, ที่อยู่เรียกเก็บเงิน และที่อยู่ที่ส่งสินค้า ซึ่งจะช่วยป้องกันให้การโจรกรรมข้อมูลออนไลน์ได้ยากมากขึ้น