พรุ่งนี้ฝุ่นพิษ PM 2.5 พุ่งสูงสุด ผู้ว่าฯ กทม. เตือนงดกิจกรรมกลางแจ้ง
พรุ่งนี้ฝุ่นพิษ PM 2.5 พุ่งสูงสุด ผู้ว่าฯ กทม. เตือนงดกิจกรรมกลางแจ้ง สนับสนุนเนื้อหา ผู้ว่าฯ กทม. เตือน พรุ่งนี้ ฝุ่นจิ๋ว PM 2.
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ปกคลุมทั่วเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวกรุงเทพฯ ที่เดินทางออกจากบ้านต่างสวมหน้ากากอนามัย N95 โดยหลายพื้นที่ระดับฝุ่นพิษเกินค่ามาตรฐานจากระดับที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้ที่ 25 ไมโครกรัม ผู้คนกังวลกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะฝุ่นพิษปกคลุมจนทัศนวิสัยของเมืองทั้งเมืองเป็นสีเทา กลายเป็นเมืองในหมอก (ฝุ่น) ซึ่งแนวโน้มเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง
สำหรับมลพิษทางอากาศ PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เกิดทั้งจากการเผาไหม้ยานพาหนะ การเผาวัสดุทางการเกษตร ไฟป่า และกระบวนการอุตสาหกรรม ฝุ่นจิ๋วนี้สามารถทะลุทะลวงเข้าไปถึงถุงลมในปอดและเข้าสู่กระแสโลหิตได้ ส่งผลให้เกิดโรคทางเดินหายใจและโรคปอดต่างๆ ถ้าได้รับปริมาณมากหรือสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นตัวการก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคหัวใจ
หน่วยงานรัฐได้ตอบสนองต่อความหวาดวิตกของประชาชน ด้วยการออกมาตรการระยะสั้นในช่วงวิกฤติดังกล่าว เพิ่มความเข้มข้นของงานป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋ว ทั้งการสั่งเพิ่มด่านตรวจจับควันดำไม่ว่ารถเล็กหรือรถใหญ่ ประกาศห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาดตลอด 2 เดือนทั้งกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดปริมณฑล ได้แก่ จ.นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
ห้ามจอดรถบนถนนสายหลักตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มีพื้นผิวจราจรรองรับรถที่สัญจร ขณะที่ ขสมก.ได้ปรับเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันรถเมล์จำนวน 800 คัน ใช้บี 20 แทน บี 7 ลดฝุ่นลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ กรมฝนหลวงและการบินเกษตรก็เฝ้าติดตามและวิเคราะห์สภาพอากาศอยู่ตลอด หากฟ้าอากาศเอื้ออำนวยหน่วยเคลื่อนที่เร็วเริ่มปฏิบัติการทำฝนเทียมให้กรุงเทพฯ ทันที
ขณะที่ กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คาดการณ์ว่าจะเผชิญสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 จากนี้ไปอีก 1-2 เดือน คนกรุงจะต้องทนอยู่ในสภาพอากาศปิดเช่นนี้
ปัญหามลพิษทางอากาศถือว่าก่อปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ถ้าเทียบกับเชียงใหม่และภาคเหนืออีกหลายจังหวัดล้วนเคยเจอกับมลภาวะจากฝุ่นควันมาแล้วทั้งสิ้น แต่ความแตกต่างอยู่ที่ฝุ่นควันภาคเหนือ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ฝุ่นจิ๋วหรือมีขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน เหมือนในเขตกรุงเทพฯ ที่ฝุ่นระดับ PM 2.5 เกินค่าความปลอดภัย เนื่องจากมีการเผาไหม้จากรถยนต์เครื่องดีเซลหนาแน่นมากกว่าพื้นที่ต่างจังหวัด และเมื่อคนกรุงต้องเผชิญกับสภาพมลภาวะแย่เป็นครั้งแรก จึงอยู่ในสภาพตื่นตระหนกเกิดคำถามมากมาย เรียกร้องให้รัฐหามาตรการรับมือและแนวทางแก้ไข แก้ปัญหาที่ชัดเจนตรงจุด อีกทั้งยังตั้งประเด็นไปถึงอนาคตด้วยว่า คนกรุงจะต้องสำลักควันพิษอีกหรือไม่ รวมทั้งประเทศไทยตั้งเป้าควบคุมคุณภาพอากาศอย่างไร
ด้าน รศ.ดร.มาโนช โลหเตปานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การขนส่งเป็นสาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 ที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญปัญหา จากการที่สภาพอากาศปิด ฝุ่นจิ๋วไม่สามารถระบายออกไปได้ ปัญหานี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีถ้าต้นเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะมลพิษจากเครื่องยนต์รถที่เผาผลาญไม่สมบูรณ์ รถเก่าที่ไม่บำรุงรักษา โดยเฉพาะรถดีเซล ในอียูมีหลายประเทศสนับสนุนห้ามใช้รถดีเซลเพื่อควบคุมคุณภาพอากาศ ระยะเร่งด่วนนั้นการแก้ปัญหาคือ การลดการเดินทาง ลดใช้ยานพาหนะ ส่งเสริมการใช้ระบบรถรางทั้งบีทีเอส เอ็มอาร์ที และจักรยาน ส่วนรถโดยสารเก่าลดจำนวนเที่ยวลงเพื่อลดฝุ่นควันให้ออกจากวิกฤติไปได้ก่อน
“ในระยะยาวต้องยกระดับมาตรฐานเครื่องยนต์และเชื้อเพลิง เพราะจะช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ได้ชัดเจน อีกแนวทางต้องส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือเอ็นวี อย่างเป็นระบบ ส่งเสริมพัฒนาเมืองให้คนใช้จักรยานและเดินมากขึ้น เพื่อจะไม่ใช้เครื่องยนต์ ซึ่งจะต้องสร้างทางเดินที่มีหลังคาให้การเดินร่มรื่นกันแดดกันฝนยิ่งขึ้น ระยะกลางให้เข้มงวดเรื่องตรวจสภาพรถยนต์ บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงส่งเสริมให้คนใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างเป็นระบบ รัฐต้องเชื่อมตั้งแต่รถไฟฟ้า รถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัย ตรงเวลา ปรับปรุงรถเมล์ให้ได้มาตรฐาน รถเมล์เก่าควันดำต้องห้ามวิ่งบริการ ส่วนมหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องนำรถชัตเทิลบัสพลังงานไฟฟ้ามาบริการทั้งนักศึกษา บุคลากร และประชาชนที่สัญจรในมหาวิทยาลัย ในส่วนของจุฬาฯ ก็ทำได้แล้ว” รศ.ดร.มาโนช กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นพิษมาจาก 2 ปัจจัย คือ มลพิษจากแหล่งกำเนิดและวิกฤติสภาพอากาศปิด ซึ่งปัจจัยหลังเราทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้สภาพอากาศดีขึ้นเท่านั้น เหตุนี้หน่วยงานรัฐและกรุงเทพมหานครได้ออกมาตรการแก้ปัญหาที่แหล่งกำเนิด อย่างไรก็ตาม การลดมลพิษอากาศต้องใช้เวลา ที่ผ่านมาไทยทำเรื่องฝุ่น PM 10 ใช้เวลา 10-20 ปี ถึงจะลดระดับฝุ่นประเภทนี้ได้ ขณะที่การตรวจวัดฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ในประเทศไทย เพิ่งถูกผนวกเมื่อ ต.ค. 61 ทำให้ปีที่แล้วมีการสะท้อนปัญหาหมอกควันกรุงเทพฯ และปีนี้วิกฤติอากาศทำให้ชาวกรุงเทพฯ ตื่นตัวมากยิ่งขึ้น หลายหน่วยงานก็วางแนวทาง อาทิ เปลี่ยนรถเก่า ปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน รวมถึงกรมโรงงานอุตสาหกรรมจัดทำร่างกฎหมายปรับปรุงคุณภาพเชื้อเพลิงในโรงงาน โดยจะกดค่าเชื้อเพลิงที่ปล่อยมลพิษให้ลดลง ซึ่งถ้ากฎหมายออกมามีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ลดมลพิษที่แหล่งกำเนิดภาคอุตสาหกรรมลงได้
“รถยนต์ 10 ล้านคันที่วิ่งในกรุงเทพฯ สร้างมลพิษทางอากาศมหาศาล ทุกคนเป็นแหล่งกำเนิดก่อเกิดมลพิษ เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องร่วมมือซึ่งกันและกัน ไม่รวมหมอกควันที่ข้ามพรมแดนกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาค ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน อย่าโทษใคร แต่คนกรุงต้องช่วยลดควันจะดีกว่าและเร็วกว่ารอให้เพื่อนบ้านลดฝุ่นละอองอย่างแน่นอน” รศ.ดร.ศิริมากล่าว
สำหรับมาตรการฉีดพ่นน้ำในอากาศเพื่อลดฝุ่นละออง ซึ่ง กทม.ดำเนินการทุกวันในช่วงวิกฤติ อาจารย์ศิริมาเห็นว่า ฝุ่น PM 2.5 บางกว่าเส้นผมของมนุษย์ 20 เท่า การฉีดพ่นช่วยลดฝุ่นขนาดใหญ่ได้ส่วนหนึ่ง แต่ฝุ่นละอองจิ๋วจะไม่หายไป ถ้าจะให้ค่าฝุ่นลดลงตามค่ามาตรฐานของกรมควบคุมมลพิษ คือ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรได้นั้น กทม.มี 50 เขต พื้นที่ 1,500 ตารางเมตร ต้องใช้เครื่องฉีดพ่นราว 3 หมื่นตัว ฝุ่นละอองถึงจะลดลง
“เรื่องคุณภาพอากาศยังยืนยันว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประกาศตัวเลขค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนเรื่องมลพิษหรือสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิเลือกที่จะอยู่บนความเสี่ยง จะใส่หน้ากากหรือไม่ใส่ หรือจะอยู่ให้ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ซึ่งการตัดสินใจรับมือปัญหาต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นสำคัญ” นักวิชาการจากจุฬาฯ ฝากถึงรัฐ
แน่นอนว่า ฝุ่นพิษเวลานี้กว่าครึ่งมาจากควันดำรถ แต่แหล่งกำเนิดรองลงมาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลร้ายของการพัฒนา เหตุนี้จึงมีนักวิชาการจี้ให้ตรวจสอบอุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โดย รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่รอบกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แม้จะปล่อยมลพิษต่ำเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่ก็มีฝุ่น ดังนั้นหน่วยงานรัฐต้องติดตามมอนิเตอร์ระบบดักจับฝุ่นและระบบวัดการปลดปล่อยมลพิษให้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ที่น่ากังวลคือโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งมีข้อสงสัยว่าระบบดักจับฝุ่นได้มาตรฐานหรือไม่ แล้วที่ไม่ฟันธงว่าเป็นตัวการฝุ่นละอองก็คือโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับ Boiler ที่กระจายตัวในภาคกลางและกรุงเทพฯ แต่มีแนวโน้มใกล้เคียงกับพื้นที่การกระจายตัวของฝุ่น PM 2.5
อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่นละอองในทรรศนะของ ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ไม่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่คนกำลังประสบฝุ่นควันคลุมเมือง เพราะเมืองใหญ่อื่นๆ ทางซีกโลกเหนือเผชิญสภาพปัญหานี้เช่นกัน กรุงโซลของเกาหลีใต้มีมลพิษพุ่งสูง รัฐบาลก็ออกมาตรการฉุกเฉินรับมือ ซึ่งแต่ละเมืองจะใช้มาตรการควมคุมมลพิษทางอากาศจากแหล่งกำเนิดเข้มข้นต่างกัน การเพิ่มความเข้มข้นแก้ปัญหาฝุ่นกระทบผู้ใช้รถในการเดินทาง แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะลดมลพิษจากเครื่องยนต์ที่เผาผลาญไม่สมบูรณ์ ถ้าจะช่วยให้อากาศในเมืองสะอาดมากขึ้นทุกภาคส่วนต้องทำ จะลดฝุ่นได้มาก การฉีดพ่นน้ำหรือทำฝนเทียมบรรเทาได้เพียง 10% เท่านั้น โดยช่วงสถานการณ์หมอกควันห่มกรุง ส่งผลกระทบทั้งระยะสั้น แสบ เคือง แดง ผื่นคัน จาม ไอ จนถึงไอหอบ และหากรับควันพิษสะสมเป็นเวลานานๆ จะป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด หลอดลมเรื้อรัง เส้นเลือดสมองตีบ ขอให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะช่วงเย็นถึงเที่ยงคืน เพราะอากาศปิด ปัญหาฝุ่นจะมากขึ้น
“ต้นเหตุฝุ่น PM 2.5 เกิดจากรถติดขัดและปล่อยมลพิษมาก แนวทางแก้ไขต้องทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น ซึ่งมีข้อเสนอจากนักวิชาการให้ใช้มาตรการรถวิ่งเข้าเมืองได้ตามป้ายทะเบียนเลขคู่เลขคี่ เพื่อลดจำนวนรถเข้าเมือง แต่ถ้าใช้มาตรการนี้ทันทีจะมีคนต่อต้าน เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระทบชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งต้องพยายามสร้างความเข้าใจ ปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ต้องร่วมมือกันคนละเล็กละน้อย อีกแนวทางหนึ่งซึ่งแก้ปัญหาได้ทันทีคือ ขอความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน โดยให้ข้าราชการ พนักงาน สลับกันทำงานที่บ้าน Work from home เพราะลักษณะงานบางอย่างสามารถทำที่บ้านได้ ส่งงานผ่านอินเทอร์เน็ต ลดการเดินทาง แต่งานบริการประชาชนต้องมาทำถึงสถานที่ทำงาน แนวทางนี้รองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล” ดร.สุพัฒน์เสนอทางออกของปัญหา
ขณะที่ ผศ.ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ คณบดีคณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปีหน้ากรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเผชิญปัญหาฝุ่นละอองอย่างแน่นอน แต่จะหนักหรือเบาขึ้นกับสภาพอากาศ ณ ช่วงเวลานั้น ปีที่แล้วก็ประชุมหามาตรการป้องกัน PM 2.5 ปีนี้ก็ระดมทุกหน่วยงานประชุมวางแนวทางแก้ปัญหา การจะฝ่าวิกฤติฝุ่นจิ๋วได้ ต้องสื่อสารข้อเท็จจริง ภาวะวิกฤติคุณภาพอากาศมาจากการเผาไหม้รถดีเซล รถเก่า รถที่ก่อควันดำ เหล่านี้ต้องเอาออกจากระบบ ต้องไม่อนุญาตให้วิ่งในเมืองหลวง
“รถดีเซลเป็นพระเอกของเรื่องนี้ ต้องปรับเปลี่ยน มีมาตรการกวดขันอย่างเข้มงวด รวมทั้งส่งเสริมการใช้น้ำมันบี 20 เพราะการเผาไหม้เครื่องยนต์สมบูรณ์ ช่วยลดฝุ่นละออง แต่สุดท้ายโลกนี้ไม่มีเทคโนโลยีใดที่มีประสิทธิภาพ 100% ทุกเชื้อเพลิงมีข้อจุดอ่อนและข้อบกพร่อง สิ่งที่ดีที่สุดคือ การลดใช้รถยนต์ ฝุ่นทุกเม็ดมาจากกิจกรรมของมนุษย์ ฉะนั้น ทุกคนต้องมีส่วนร่วมลดฝุ่นควัน รัฐต้องส่งเสริมคนเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะให้ได้ มีทางเลือกให้คนกรุงเดินทางแทนขับรถออกจากบ้าน ควบคู่กับการจัดทำโซนนิ่ง มีผังเมืองชัดเจนในการพัฒนา นักวิชาการบางคนเสนอให้ใช้ยาแรงแก้ปัญหาฝุ่นเหมือนต่างประเทศ แต่บริบทของประเทศไทยอาจใช้ไม่ได้ มีข้อจำกัดหลายด้าน รวมถึงต้นทุนที่รัฐรวมถึงประชาชนต้องแบกรับเมื่อมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง” คณบดีคณะสิ่งแวดล้อม มก. กล่าวทิ้งท้าย พร้อมฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วนร่วมกันตั้งเป้าหมายควบคุมคุณภาพอากาศระยะยาว และร่วมกันปฏิบัติภารกิจตามภาระหน้าที่ให้เกิดผลสำเร็จ เพื่อสภาพอากาศและคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของคนไทย
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นตรงกันในประเด็นการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญและอย่าตื่นตระหนก โดยแนะนำให้ติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวังสถานการณ์ฝุ่นละออง รวมทั้งข้อมูลข่าวสารผ่านเว็บไซต์ www.air4thai.pcd.go.th และ แอปพลิเคชัน air4thai เพราะได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือ ซึ่งประชาชนสามารถดาวน์โหลดฟรีทั้งในระบบ iOS และ Android
แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ผ่าทางรอดวิกฤติฝุ่นพิษ PM 2.5 นักวิชาการระดมสมองแนะแนวทางรัฐรับมือ
เรื่องนี้ไม่อนุญาติ ให้แสดงความคิดเห็น