ปิดเมนู
หน้าแรก

ที่สุดแห่งความภูมิใจ “หมอก้อง” แพทย์ทหาร ข้าราชการของแผ่นดิน

เปิดอ่าน 699 views

ที่สุดแห่งความภูมิใจ “หมอก้อง” แพทย์ทหาร ข้าราชการของแผ่นดิน

นอกจากเป็นนักแสดงมากความสามารถแล้ว หรือ พันตรีนายแพทย์ สรวิชญ์ สุบุญ เป็นอีกบทบาทที่หลายคนคุ้นเคย ปัจจุบันเขาประจำการอยู่ในสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม การเป็นหมอได้เปลี่ยนชีวิตของเขาครั้งใหญ่

จากที่ไม่เคยรู้สึกภูมิใจในอาชีพแพทย์ทหาร แต่เมื่อมีโอกาสเดินตามรอยพ่อหลวงของแผ่นดินออกหน่วยแพทย์อาสา กลับทำให้เขาเปลี่ยนความคิดเมื่อได้เกิดมาเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หมอก้องเปิดโอกาสให้ พูดคุยถึงความรู้สึกลึกๆ ที่มีต่ออาชีพอันทรงเกียรติ และจุดพลิกผันจนทำให้เขาสัญญากับตัวเองว่า “จะเป็นข้ารับใช้แผ่นดิน และรับใช้ประชาชน”

dara

เส้นทาง “ก้อง สรวิชญ์” สู่ชีวิตแพทย์ทหาร
หมอก้องเป็นคนจังหวัดลพบุรีโดยกำเนิด ถูกปลูกฝังจากคุณพ่อมาตั้งแต่เด็กว่าโตขึ้นอยากให้เป็นหมอทหารหมอก้องจึงเลือกเรียนหมอ และสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าได้สำเร็จตามเป้าหมายที่พ่อขอไว้ แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ตาม

“จริงๆ ใจไม่คิดอยากเป็นหมอ และไม่ได้วางตัวเองไว้ว่าจะเป็นหมอ แต่ชีวิตตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่คนต่างจังหวัดก็จะมีแนวคิดอยากให้ลูกเป็นหมอ แต่ใจเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำงานกันแบบไหน จริงๆ ใจอยากเป็นครู ตอนเอ็นทรานซ์ก็อยากจะเข้าครุศาสตร์ เพราะผมเป็นคนชอบสอน ชอบถ่ายทอดเรื่องราว เรื่องที่ยากๆ อธิบายแล้วคนเข้าใจ แต่พ่อก็จะพูดว่า “อยากให้เป็นหมอนะ” ตามประสาผู้ใหญ่ พอเข้ามาเรียนบรรยากาศการเรียนในเตรียมอุดม แนวโน้มมันก็จะเป็นไปในทางนี้อยู่แล้วก็เลยไปสอบ ตอนนั้นคิดว่าแค่สอบเอาคะแนนให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาเลือก ให้เรามีสิทธิ์เลือกคณะได้ก่อน ปรากฏว่ามันก็เลือกได้

พอมันเลือกได้แล้วพ่อเขาก็ขอว่าอยากให้เป็นหมอ ตัวผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันขัดอะไรกับการที่อยากเป็นครู พ่อเขาก็เลยขอให้เป็นหมอเราก็เป็นได้ทำให้ได้ ต่อมาขอว่าให้เป็นหมอทหารอีก อันนี้ขัดความรู้สึกมาก เด็กเตรียมอุดมใจตอนนั้นผมมีแต่จุฬา รั้วก็ติดกันแค่นั้น มันก็เลยขัดความรู้สึกมากๆ เลย เหตุผลที่เขาอยากให้เป็นหมอทหารเพราะเขาเป็นทหาร และหมอทหารมันได้ทุน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในความรู้สึกของเขา

และพี่สาวผมก็เป็นหมอทหาร เขาก็เลยอยากให้อยู่ตรงนี้ และช่วงนั้นพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี เขาห่วงว่าถ้าเขาเป็นอะไรไปที่บ้านจะเดือดร้อน แม่จะเลี้ยงลูกไม่ไหว เพราะว่ามีน้องอีกสองคน อย่างน้อยถ้าผมเข้าพระมงกุฎมันเรียนจบแน่ เพราะมันเป็นนักเรียนทุน ด้วยนึกถึงความกตัญญู เลยโอเค ได้เรียน และเรียนจบมา”

dara2

ชีวิตหมอทหาร สิ่งที่ได้มากกว่าการเป็นหมอ
แม้หมอทหารจะเป็นอาชีพที่รู้สึกขัดต่อความรู้สึกของตัวเองตั้งแต่แรก แต่เมื่อเขาเลือกเส้นทางการเป็นหมอทหารแล้ว การฝึกฝนวิชาชีพทหารโดยเฉพาะเรื่องระเบียบวินัยกลับทำให้รู้สึกถึงความภาคภูมิใจ และสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างหมอทหารกับอาชีพทั่วไป

“การเป็นหมอทหารจะได้ฝึกทหารด้วย ตอนปีหนึ่งจะเรียนเหมือนกันก็คือวิทยาศาสตร์การแพทย์เรียนเหมือนกันทุกที่ พอขึ้นปีสองก็เรียนวิชาแพทย์ สมมติว่าเปิดเทอมเมษายน ผมต้องเข้าตั้งแต่กุมภาพันธ์ เพราะต้องไปฝึกวิชาทหารสองเดือนอย่างเดียวล้วนๆ เลย และวิชาทหารที่ว่าคือฝึกเหมือนโรงเรียนเหล่าทหารนายร้อยจปร.สิ่งที่เอาไปใช้คือวินัย และวินัยทหารมันจะซึมเข้ามาช่วงสองเดือนนั้น ซึมเข้ามาเต็มที่ และต่อไปก็เป็นชีวิตทหาร อยู่โรงเรียนพระมงกุฎเป็นโรงเรียนประจำ วินัยทหารมันก็อยู่กับเราตลอด

ถามว่ามันได้ใช้อะไรมันได้ใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว และเราฝึกมาแล้วเราสามารถออกรบได้เพราะว่าในสนามรบก็ต้องการหมอ ฉะนั้นเราจะเป็นหมอที่ออกรบกับทหารได้ ในขณะเดียวกันเราก็เป็นทหารที่รักษาคนได้ มันก็เลยจะต่างกัน หมอทั่วไปเขาจะไม่ได้ฝึกทางนี้ครับ”

dara3

ซึมซับจิตวิญญาณอาชีพหมอทหาร
หลังจบการศึกษา หมอก้องเดินสู่ชีวิตการทำงานอย่างจริงจัง บนเส้นทางแพทย์ทหารทำให้เขาได้เรียนรู้คุณค่าของชีวิต และเข้าใจจิตวิญญาณอาชีพหมอทหารอย่างแท้จริง

“ผมได้จิตวิญญาณตอนเรียนจบและตอนทำงาน เพราะการทำงานมันเจอสถานการณ์จริง มันไม่ได้สบายแบบตอนเรียน ตอนเรียนคิดว่าหนักแล้ว ต้องอ่านหนังสือ ต้องสอบ ตอนเรียนสบายสุดๆ ตอนทำงานจริงๆ เหนื่อย ปัญหาสารพัดและได้เห็นได้รู้สึกจริงๆ เคยไหมที่รู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่าเวลาที่เราท้อแท้ แต่ละคนคงเป็น เวลาเรารู้สึกท้อแม้เราไม่มีค่า ชีวิตเราไม่ได้มีอะไรดีกับใคร เราเห็นว่าเราไม่ดี ไม่ใช่แค่ผมหรอก ทุกคนแหละเวลาท้อแท้เราจะมองเข้าหาตัวเอง เราจะไม่มองหาคนอื่นว่าจริงๆ

เราทำประโยชน์กับคนอื่นได้ ถ้าคิดว่าตัวเองแย่เราก็ไปทำประโยชน์ให้คนอื่นเถอะ อาชีพหมอมันทำได้ ไม่ว่าจะเป็นยังไงจะเลวร้ายแค่ไหน หมอสามารถรักษาคนได้ นั่นคือให้ประโยชน์กับคนได้ หมอเป็นอาชีพที่มีบทบาทหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ตลอดเวลาครับ”

ความคิดเปลี่ยน เมื่อเดินตามรอยพ่อหลวง
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นข้าราชการของแผ่นดิน แต่บางช่วงเวลาหมอก้องกล้ายอมรับว่ามักจะให้ความสำคัญกับงานส่วนตัวมากกว่างานหลักที่ตนเองรับผิดชอบ จนกระทั่งเขามาเจอเหตุการณ์พลิกชีวิตที่เปลี่ยนความคิดของตัวเอง เพื่อให้สมกับคำว่าเป็นข้าราชการของในหลวงและประชาชน

“ที่มันได้ประสบการณ์ตรงนี้เพราะว่ามันเลวมาก่อน พอไปเจอเรื่องดีๆ มันก็เลยจดจำเยอะ คือถ้าเป็นคนปกติทั่วไปที่เขาไม่ได้เลวเหมือนผมเนี่ย ไปเจอเรื่องดีๆ เขาก็ประทับใจ แต่ของผมด้วยความที่จิตมันต่ำมากมันเลวมาก เกเรมาก แต่ตอนนั้นไม่สนอะไร เลวมากช่วงนั้นเวรก็โดด อ้างโน่นอ้างนี่ แต่จริงๆ แล้วไปทำเรื่องส่วนตัว เรียกว่าเห็นแก่ตัว จะเอาแต่งานตัวเอง ทิ้งงานหลัก

เวลาออกหน่วยก็พยายามเลี่ยงไม่ไป รู้สึกไม่อยากไปเพราะออกทีสิบวัน เหนื่อย งานละครเสีย อีเวนท์เสีย อันนี้พูดตามตรงเลยนะ ไม่ต้องโกหกกันต่อไป มันเป็นแบบนั้นและก็จ้างคนโน้นคนนี้ไปแทนบ้าง แต่ถ้าจวนตัวจริงๆ ก็ต้องไป

และวันนั้นมีโอกาสเลือกจะได้ไปไหนก็เลยเลือกไปใกล้ๆ ก่อน เพชรบุรีไปกลับกรุงเทพฯ มีงานกลางคืนก็โดดมารับ ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ ตอนนั้นมันเลวร้ายมากที่เป็นแบบนั้น และไปเจอความลำบากตรงการเดินทางมันแตกต่างจากภาพที่เรามองว่าเพชรบุรีหัวหินแบบใกล้ๆ แต่เจอจริงๆ แค่เดินทางก็เหนื่อยแล้ว ต้องเปลี่ยนรถขึ้นเขา เพราะมันติดชายแดนก็ขับรถขึ้นลงและต้องเดินทางเข้าไปอีก

แต่สิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนความคิดและชีวิตผมคือผมไปเจอว่าคนที่อยู่เหนือกว่าเรามากๆ ก็ทำแบบนี้ แล้วปากเราก็บอกว่าเราเทิดทูนพระองค์ท่าน ว่าเรารักในหลวงเหลือเกิน รักอย่างนั้นรักอย่างนี้ แต่การกระทำเรากลับสวนทางทุกอย่าง และพอเราได้เห็นจริงๆ ว่าคนที่อยู่สูงที่สุดกลับลงมาทำอะไรที่พื้นที่สุด ติดดินที่สุด เหนื่อยยากที่สุด แม้แต่เราเองยังไม่อยากทำ เราเองยังเหนื่อย เรายังปฏิเสธที่จะทำสารพัด แต่ท่านทำหมด แล้วเราบอกว่าเรารักท่านแล้วทำไมเราถึงทำอะไรสวนทางกับท่านล่ะ

แล้วนี่ท่านลงมาสอนให้เห็นเหตุการณ์จริงๆ มันเลยรู้สึกว่าพูดไม่ออกมันจุกมาก ถ้าใครเคยโดนหมัดต่อยหน้ามันจะรู้ว่าอาการวิ้งเป็นยังไง เพราะมันตื้อและมันคิดอะไรไม่ออก ได้ไปเจอพระองค์ท่านทำงานอย่างไร ความคิดผมมันก็เปลี่ยนมองเห็นคนอื่นมากขึ้น ลดความเห็นแก่ตัวลง แต่ยังไม่หมดนะครับ เพราะว่าต้นทุนเดิมมันเยอะ แค่ว่าเราจะตั้งใจทำงาน และได้ชื่อว่าเป็นราชการก็เป็นข้ารับใช้ท่าน ข้าของแผ่นดิน แล้วเรารับเงินเดือนมันก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

dara4

“ในหลวง” คือต้นแบบการใช้ชีวิต
หลังเรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์การทำงานหมอทหาร ทำให้หมอก้องเห็นตัวอย่างการทำงานของในหลวงในรูปแบบต่างๆ มากมาย เป็นเหตุผลให้เขาเลือกใช้ชีวิตตามรอยพ่อหลวงเรื่อยมา

“ท่านเป็นต้นแบบทุกอย่าง คำพูดที่ท่านพูดแนวพระราชดำริหรือแนวพระราชดำรัสทุกอย่างไม่ต้องพิสูจน์ เพราะท่านทำให้ดูหมดแล้ว และไม่ใช่เพิ่งทำเพราะทำมาจนมั่นใจว่าดีถึงเอาให้ สิ่งที่เห็นชัดเลย คือเรื่องความพอเพียงง่ายๆ เลย ขนาดท่านให้มาหมดแบบนี้แล้ว ตัวผมเองที่คิดว่าผมฉลาดนักหนา ยังเพิ่งจะมาเข้าใจคำว่าพอเพียง ว่าคำว่าพอเพียงคืออะไร หลายคนก็ชอบเอาไปตีความว่าคำว่าพอเพียงต้องใช้ชีวิตแบบจน แต่พอเพียงไม่ได้หมายความว่าอยู่แบบจน อยู่แบบลำบาก

คำว่าพอเพียงคือการอยู่ตามอัตภาพของตน พอเพียงในสิ่งที่ตนมี อย่างผมต้องกินต้องใช้อะไรผมก็กินใช้ตามพอเหมาะพอควรกับตัวเรา อย่าเกินตัวคือมีกิน มีเก็บ และสุดท้ายมีแบ่งปัน นี่คือคำว่าพอเพียง สังเกตได้จากการแบ่งปัน พระองค์ท่านเป็นผู้ให้มาตลอด พระองค์ท่านเป็นต้นแบบทุกอย่าง ไม่ต้องมองที่อื่น พระองค์ท่านทำให้เห็นๆ เลย ประโยชน์ของการให้คือการละออกจากตัวเอง ละความเลว ความเห็นแก่ตัว

ด้วยการให้เป็นทาน พอเรารู้จักการให้ทานแล้ว ความโลภเราจะน้อย และเราจะมองเห็นคนอื่นมากกว่าตัวเรา อยากจะให้คนอื่นมีความสุข และเราจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง จะมองเห็นความชั่วความเลวของตัวเองมากขึ้น และก็พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองครับ”

อ่านมาถึงตรงนี้คงพอสรุปได้ว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้ หากความคิดเปลี่ยน เช่นเดียวกับหมอก้องที่เรามักจำภาพดารานักแสดง แต่ในบทบาทแพทย์ทหารกลับทำให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเองชัดเจนกว่า แล้วคุณล่ะ จุดไหนคือจุดที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากที่สุด คงไม่สายเกินไปที่จะเริ่มสำรวจตัวเองเพื่อค้นพบสิ่งนั้น

credit: men.sanook.com

แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่อง : ที่สุดแห่งความภูมิใจ “หมอก้อง” แพทย์ทหาร ข้าราชการของแผ่นดิน