การซ่อมสีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเกิดการเฉี่ยวชน หรือจากสภาพสีที่เก่าซีดจางไปตามกาลเวลา ก่อนเราไปซ่อมสีรถให้ฟื้นกลับมาเหมือนใหม่ดังเดิมนั้น ก็ต้องเลือกศูนย์ซ่อมที่ได้มาตรฐาน สังเกตดูภายนอกมีพื้นที่รองรับกว้างขวางจอดรถเพียงพอ สามารถรองรับผู้มาใช้บริการได้ เครื่องมือจัดวางเป็นระเบียบ และแบ่งสัดส่วน แยกโซนในการทำงานต่างๆ อย่างชัดเจน มีห้อง พ่นสี อบสี ปลอดฝุ่น รวมไปถึงต้องมีความสะอาดปลอดภัย เช่น มีเครื่องดับเพลิง หรือสัญญาณเตือนภัยต่างๆ เพราะหากเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้ควบคุมได้ง่าย สุดท้ายต้องมีห้องรับรองไว้คอยบริการลูกค้าที่มารอใช้บริการด้วย

สำหรับใครที่ต้องการซ่อมสี หรือทำสีใหม่ทั้งคัน ลองมารู้เรื่องสีเบื้องต้นสักนิด จะได้บอกความต้องการกับศูนย์ซ่อมได้ สีที่ติดรถมาดั้งเดิมคือสีที่มาจากโรงงานนั้นมีอีกชื่อหนึ่งว่า สีอบ (Bake Paint) ก็เรียกตามชื่อเลย เพราะว่าสีชนิดนี้ต้องผ่านการอบด้วยอุณหภูมิสูงจากโรงงานความร้อน 120-170 องศาเซลเซียส ซึ่งมีความทนทานสูงสุด แต่จะหาอู่ทำสีแบบนี้ในบ้านเราไม่มีครับ เพราะต้องใช้งบประมาณการลงทุนที่สูง จะมีแค่ในโรงงานรถยนต์เท่านั้นที่สามารถลงทุนได้

การซ่อมสีรถยนต์มีสีให้เลือก 2 ประเภท สี 1K และ 2K

คุณสมบัติของ สี 1K เรียกว่า (สีแห้งเร็ว) ซึ่งเป็นสีที่อู่สมัยเก่าชอบใช้ เพราะมีต้นทุนต่ำ ชื่อก็บอกแล้วว่าแห้งเร็ว พ่นแล้วรอรับรถไม่เกิน 1 วัน แต่มีข้อเสียด้านความคงทน เพราะสีซีดจางเร็วอย่างเห็นได้ชัด และไม่ทนต่อความกัดกร่อนของน้ำมันและทินเนอร์ อยู่ได้ประมาณ 3 ปี เท่านั้น

คุณสมบัติของ สี 2K เรียกว่า (สีแห้งช้า) ตัวเนื้อสีจะผสม (เรซิ่น) กับ สารเร่งปฎิกิริยา (ฮาเดนเนอร์) ทำให้สีแห้งเกาะติดทนนาน จากนั้นต้องพ่นเคลียร์ทับด้วย (Clear Coat) เพื่อเพิ่มความเงางาม ซึ่งทำให้สีที่ได้ใกล้เคียงกับสีเดิมที่ออกมาจากโรงงานมากที่สุด

“อยากให้ลองเข้าไปพูดคุยสอบถามราคาก่อนนะครับ เพราะแต่ละที่ราคาจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับคุณภาพสี และยี่ห้อที่ใช้ด้วย ลองเสิร์ชหารีวิวอู่ใกล้บ้านก่อนก็ได้ หรือลองสอบถามเพื่อนฝูงเผื่อมีใครเคยไปทำมาแล้ว”

ยังมีสียี่ห้อดังๆ ที่นิยมใช้ก็จะแพงสักหน่อย อย่างสีตรานกแก้วคุณภาพจะอยู่ในเกรดระดับพรีเมียม อันนี้ลูกค้าต้องเป็นคนบอกศูนย์ซ่อมว่าต้องการสียี่ห้ออะไร ย้ำอย่าลืมถามเรื่องคุณภาพสี และราคาก่อนนะครับ จะได้ไม่เสียความรู้สึกภายหลัง